วรรณกรรมประเภทคำสอนโดยตรง
๑. ฮีตสิบสอง(ประเพณีทำบุญในรอบ๑๒ เดือน)
ฮีตสิบสองและคองสิบสี่ เป็นเหมือนแม่บทในการดำเนินชีวิตในสังคมอีสาน และมีอิทธิพลเหนือจิตใจของชาวบ้านมาก แม้ว่าต้นฉบับจะไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่การดำเนินชีวิตประจำวันนั้นก็ยังยึดแนวในฮีต(จารีต) เป็นหลัก ฮีตสิบสองนั้นเป็นการประพฤติปฏิบัติตามประเพณีสังคมในรอบปี ว่าเดือนไหนทำอะไร และทำอย่างไร เพื่ออะไร ตลอดทั้งปี ส่วนคองสิบสี่ คือครรลองแห่งชีวิตสิบสี่ประการ ที่เป็นหลักของการปกครอง ๑๔ ข้อเพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งจารีตประเพณีและทำนองคองธรรมอันดีงานของท้องถิ่นและของบ้านเมือง คองสิบสี่เป็นแนวทางที่ใช้เป็นหลักปฏิบัติ ๒ ประการใหญ่คือ สำหรับบุคคลธรรมดาที่ประพฤติปฏิบัติกันอย่างหนึ่ง และผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองบ้านเมืองนับตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยถึงชั้นผู้ใหญ่ พึงปฏิบัติกันเมื่อกล่าวถึงคองก็มักจะมีคำว่า ฮีตเป็นคู่กันมาด้วยเสมอยากที่จะแยกขาดจากกันได้เป็นการนำเอาธรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับคองสิบสี่ ที่ท่านเจ้าคุณอริยานุวัตร วัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคามได้สรุปไว้มีดังนี้คือ
๑) บุญเดือนอ้าย(เดือน๑) ทำบุญเข้ากรรม เป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้าอยู่ปริวาสกรรมเพื่อความบริสุทธิ์ล้างอาบัติมลทิน ชาวบ้านก็จะมาทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุที่เข้าอยู่ปริวาสกรรมนั้นเพื่อทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป และทางฆารวาสก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่างๆตามความเชื้อของคนโบราณที่นับถือวิญญาณดังคำกล่าวว่า
ถึงเดือนเจี่ยงนั่นให้ฝูงหมู่เจ้าเลี้ยงผีมด ผีหมอ ผีฟ้า ผีแถนและนิมนต์สงฆ์ พระเจ้ามาเข้ากรรมนั่นแล ดูราฝูงเจ้าพี่น้องทั้งหลายอย่าได้ปะ(ปล่อยทิ้ง)ได้ถิ่มฮีตเก่าคองหลังเฮาเดอให้ฝูงพวกเจ้าซอยกันเฮ็ดกันทำนั่นถ่อน74ฯฮีตหนึ่งนั้นเถิงเมือเดือนเจียงเข้ากลายมาแถมถ่าย ฝูงหมู่สังฆเจ้าก็เตรียมเข้าอยู่กรรม มันหากธรรมเนียมนี้ถือมาตั้งแต่ก่อน อย่าได้ละห่างเว้นเข็ญสิข่องแล่นนำ แท้วแล้ว75
๒) บุญเดือนยี่(เดือน๒) ให้พากันทำบุญคูนลานนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์เย็นเพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก เมื่อพระฉันข้าวแล้วจะทำพิธีสู่ขวัญข้าวนอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน ดังคำโบราณว่าดังนี้
เถิงฤดูเดือนยี่มาฮอดแล้ว ให้นิมนต์พระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งสวดมุงคุณ(มงคล)เอาบุณคุณข้าวเตรียมเข่าป่าหาไม้เฮ็ดหลัวเฮ็ดฟืนไว้นั่นก่อนอย่าได้หลงลืมถิ่มฮีตเดิมคองเก่าเฮ่าเดอ ฮีตหนึ่งนั้น พอแต่เดือนยี่ได้ล้ำล่วงมาเถิงให้พากันหาฟืนสู่คนโฮมไว้ อย่าได้ไลคองนี้มันสิสูญเสียเปล่า ข้าวและของหมู่นั้นสิหายเสี่ยงบ่ยัง จงให้ฟังคองนี้แนวกลอนเฮาบอกอย่าเอาใดออกแท้เข็ญฮ้ายสิแล่นเถิง เจ้าเอย
๓) บุญเดือนสาม ให้พากันทำบุญข้าวจี่และทำบุญมาฆะบูชา ดังคำกล่าวของโบราณว่าไว้ดังนี้
พอเถิงเดือนสามค่อย(คล้อย)เจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ ปั้นข้าวจี่บ่ใส่น้ำอ้อยจั่วน้อย(สามเณรน้อย)เซ็ดน้ำตา ฮีตหนึ่งนั้นเถิงเมื่อเดือนสามได้จงพากันจี่ไปถวายสังฆเจ้าเอาแท้หมู่บุญ กุศลยังสินำค้ำตามเฮาเมื่อละคาบ หากธรรมเนียมจั่งชี้มีแท้แต่นาน ให้ทำไปทุกบ้านทุกที่เอาบุญพ่อเอย คองหากเคยมีมาแต่ปางปฐม
พุ้นอย่าได้พากันไลถิ่มประเพณีตั้งแต่เก่าบ้านเมืองเฮาสิเศร้าภัยฮ้ายสิแล่นตาม 76
๔) บุญเดือนสี่(ทำบุญพระเวส) มีการฟังเทศน์มหาชาติ ดังคำโบราณว่า
เถิงฤดูเดือนสี่เข้าให้ทำบุญมหาชาติ ให้เที่ยวหาดอกไม้มาไว้บูชานั้นถ่อน อย่าสิไลลืมถิ่มโบราณของเก่า เอาดอกไม้ถวายให้พระสงฆ์ เพิ่นจักเทศนาให้ฝูงเฮารู้บุญบาป มีลาภล้นเหลือแท้ดังประสงค์เฮาเด77 หรือ ฮีตหนึ่ง พอเถิงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผาหามาลาดวงหอมสู่คนเก็บไว้ อย่าได้ไลคองนี้เสียศรีสูญเปล่า หาเอาตากแดดไว้ให้ทำแท้สู่คน แท้ดาย อย่าได้ไลหนีเว้นแนวคองตั้งแต่เก่า ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญ78
๕) บุญเดือนห้า(ตรุษสงกรานต์หรือบุญสรงน้ำ) มีการสรงน้ำพระพุทธรูปและสรงน้ำญาติผู้ใหญ่ตลอดถึงการก่อพระเจดีย์ทรายและปล่อยนกปล่อยปลา ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้น พอเถิงเดือนห้าได้พวกไพร่ชาวเมืองจงพากันสรงน้ำขัดสีพระพุทธรูป ให้ทำทุกวัดแท้อย่าไลม้างห่องเสีย ให้พากันทำแท้ๆไผๆบ่ได้ว่า ทุกทั่วทีปแผ่นหล้าให้ทำแท้สู่คน จั่งสิสุขยิ่งล้นทำถึกคำสอน ถือฮีตคองควรถือแต่หลังปฐมพุ้น79
๖) บุญเดือนหก(ทำบุญบั้งไฟและวิสาขบูชา) ทำบุญบั้งไฟเพื่อขอฝนจากพระยาแถนและมีการบวชนาคพร้อมกันด้วยเป็นงานสำคัญก่อนที่จะลงมือทำไรทำนา ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้น พอเถิงเดือนหกแล้ว ให้นำเอาน้ำวารีสรงโสด ฮดพระพุทธรูปเหนือใต้สุ่ภาย อย่าได้ละเบี่ยงบ้ายปัดป่ายหายหยุด มันสิสูญเสียศรีต่ำไปเมือหน้า จงพากันทำแท้แนวคองฮีตเก่า เอาไปเรื่อยๆอย่าถอยหน้าอย่าเสีย80
๗) บุญเดือนเจ็ด(ทำบุญชำฮะหรือชำระ) ชาวบ้านจะพากันทำความสะอาดบ้านเรือนเครื่องนุ่งห่ม เจ้าเมืองจะทำพิธีถอดถอนหลักเมือง และตอกหลักเมือง ถ้าปรากฏว่าบ้านเมืองไม่ปกติสุขมีโจรผู้ร้าย เกิดทุพภิกขภัย เจ้านายทะเลาะกัน ถือว่าชะตาเมืองขาดต้องมีการชำระไล่เสนียดจัญไรออกไป ฉะนั้นจึงมีพิธีกรรมถอดถอนหลักเมืองเพื่อเป็นเคล็ด แล้วตอกกลักเมืองกันใหม่ตามหมู่บ้านโดยทั่วไป เรียกว่าหลักบ้านก็ทำพิธีเข่นนี้เหมือนกันดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้น พอเมือเดือนเจ็ดแล้วจงพากันบูชาราช ฝูงหมู่เทพเหล่านั้นบูชาแท้สู่ภาย ตลอดไปฮอดอ้ายอาฮักษ์ใหญ่มเหสัก ทั้งหลักเมืองสู่หนบูชาเจ้า พากันเอาใจตั้งทำตามฮีตเก่า นิมนต์สังฆเจ้าชำฮะแท้สวดมนต์ให้ฝูงคนเมืองนั้นทำกันอย่าได้ห่าง สูตรชำฮะเมืองอย่างค้างสิเสียเศร้าต่ำศูนย์ ทุกข์สิแล่นวุ่นๆ มาโฮมใส่เต็มเมือง มันสิเคืองคำขัดต่ำลงศูนย์เศร้าให้เจ้าทำตามนี้แนวเฮาสิกล่าว จึงสิสุขอยู่สร้างสรรค์ฟ้าเกิ่งกัน ทุกข์หมื่นฮ้อยชั้นบ่มีว่ามาพาน ปานกับเมืองสวรรค์สุขเกิ่งกันเทียมได้81
๘) บุญเดือนแปดทำบุญเข้าพรรษา คือการเข้าอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนของพระภิกษุดังนั้นบุญในเดือนนี้จะมีการถวายต้นเทียนจำพรรษาและถวายผ้าอาบน้ำฝน ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้นพอเถิงเดือนแปดได้ล้ำล่วงมาเถิง ฝูงหมู่สังโฆคุณ เข้าวัสสาจำจ้อย ทำตามฮอยของเจ้าพระโคดมทำก่อน บ่ทะสอนเลิกม้างทำแท้สู่ภาย แล้วจงพากันผ่ายหาของไปเททอด ทำทานไปอย่าได้คร้านเอาไว้หมู่บุญ สิเป็นของหนุนเจ้าไปเทิงอากาศ สู่สวรรค์บ่ฮ้อนด้วยบุญนี้ส่งไป เพิ่นจึงตรัสบอกไว้ฮีตเก่าคองหลัง ฟังให้ดีมันคักอย่าไลเดอเจ้า จงให้พากันเข้าทำทานตักบาตร อย่าขาดได้ไปแท้สู่คน โอกาสนี้ เพิ่นให้เที่ยวซอกค้น ขุดก่นขุมบุญเอาทุนไปภายหน้าเมื่อตายไปแล้ว เป็นแนวนำเฮาขึ้นบันได้ทองเที่ยวท่อง ขึ้นสู่ห้องชั้นฟ้าสวรรค์พุ้นอยู่เย็น ฝูงหมู่วิบากเว้นบ่มีว่าสิมาพาน เนาว์วิมานแสนสุขทุกข์หายบ่มาใกล้82
๙) ทำบุญเก้า(ทำบุญข้าวประดับดิน)ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาว หมากพลูบุหรี่ห่อเป็นห่อมาแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัด ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และถวายภัตตาหารเข้าแก่พระสงฆ์ ตรวจน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นเปรตพลี ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้นพอถึงเดือนเก้าแล้วเป็นกลางแห่งวัสสกาล ฝูงประชาชนชาวเมืองก็เล่าเตรีมตัวพร้อม พากนทานยังข้าวประดับดินกินก่อนทายกทานให้เจ้าพระสงฆ์พร้อมอยู่ภาย ทำจั่งชี้บ่ย้ายเถิงขวบปีมา พระราชาในเมืองก็จงทำแนวนี้ ฮีตหากมีมาแล้ววางลงให้ถือต่อ จำไว้เด้อพ่อเฒ่า หลานเว้ากล่าวจา83
๑๐) ทำบุญเดือนสิบคือทำบุญข้าวสาก(สลากภัตต์)ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบจึงเรียกว่าบุญเดือนสิบ ผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใสของทานและเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้สลากของใครผู้นั้นก็เข้าไปถวายของจึงเรียกว่าสลากภัตรดังคำโบราณว่า
อีตหนึ่งนั้น พอเมื่อเถิงเดือนสิบแล้วทายกทอดบวยบานเบิกพลีทำทานต่อมาสองซ้ำ ข้าวสลากนำไปให้สังโฆกาทอด พากันหวังยอดแก้วนิพพานพ้นที่สูง ฝูงหมู่ลุงอาว์ป้าคณาเนืองน้อมส่ง ศรัทธาลงทอดไว้ทานให้แผ่ไป อุทิศให้ฝูงเปรตเปโต พากันโมทนานำสู่คนจนเกลี้ยง84
๑๑) บุญเดือนสิบเอ็ดคือบุญวันออกพรรษา เป็นที่พระสงฆ์ให้โอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันไม่ว่าอาวุโสหรือภันเตให้เตือนกันได้เรียกว่าปวารณาตัวเองให้คนอื่นชี้โทษเพื่อสำรวมระวังต่อไป ส่วนฆราวาสก็มีการลอยเรือไฟ ตามทีปโคมไฟนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้หรือรั้ววัด และถวายต้นปราสาทเผิ้ง(ปราสาทผึ้ง)และมีการแข่งเรือในบางท้องที่ด้วย ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้นเถิงเดือนสิบเอ็ดแล้วเป็นแนวทางป่อง เป็นช่องของพระเจ้าเคยเข้าแล้วออกมา เถิงวัสสามาแล้วสามเดือนก็เลยออก เฮียกว่าออกพรรษาปวารณากล่าวไว้เฮาได้เล่ามา85
๑๒) บุญเดือนสิบสอง คือบุญกฐินเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ เรียกว่ากาลกฐิน จึงเรียกเดือนนี้ว่าบุญกฐิน ดังคำโบราณว่า
ฮีตหนึ่งนั้น เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยๆหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั่นบ่คือแท้แต่หลัง ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือซวงกันบูชา ฝูงนาโคนาคเนาว์ในพื้น ชื่อว่า อุพะนาโคเนาว์ในพื้นแผ่นสิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสะการ จงให้ทำทุกบ้านบูชาท่านนาโค แล้วลงโมทนาดอมชื่นซมกันเล่น กลางเว็นกลางคืนให้ระงมกันขับเสพ จึงสิสุขอยู่สร้างสบายเนื้ออยู่เย็น ทุกข์ทั้งหลายหลีกเว้นหนีห่างบ่มีพานของสามานย์ทั้งปวงบ่ได้มีมาใกล้ ไผู้ผู้ทำตามนี้เจริญขึ้นยิ่งๆทุกสิ่งบ่ได้ทั้งข้าวหมู่ของ กรรมบ่ได้ถืกต้องลำบากในตัว โลดบ่มีมัวหมองอย่างใดพอดี้ มีแต่สุขีล้นคองคนสนุกยิ่ง อดให้หลิงป่องนี้เด้อเจ้าแก่ชรา86
ประเพณีดังกล่าวมานี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังตั้งแต่เดือน ๑ จนถึงเดือนสิบสอง ใครที่ไม่ไปช่วยงานจะถูกชาวบ้านด้วยกันตำหนิ งานบุญทั้งสิบสองเดือนนี้จึงทำให้ชาวอีสานมีความสนิทสนมกัน ทุกหมู่บ้านทุกคนรู้จักกันหมดด้วยจึงเป็นการสร้างสรรค์ความสมัครสมานสามัคคีระหว่างชุมชนด้วยกันเองอีกด้วย ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม