วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฺวรรณกรรมคำสอนทางอ้อมตอน 2::บ้านดอนเรดิโอออนไลน์

๑.๔)  คนพวกหนึ่งเห็นดงเป็นบ้าน  เห็นเมืองเป็นป่าเห็นท่าน้ำเป็นด้าวด่านเสือคืออะไร
       คนที่เห็นป่าไม้เป็นเหมือนบ้านนั้นได้แก่นักบวชผู้ชอบบำเพ็ญธรรมกัมมัฏฐาน  ผู้เห็นเมืองเป็นป่านั้นคือ  ตามบ้านเมืองย่อมครึกโครมไปด้วยเสียงคนและสัตว์หาความสงัดไม่ได้ส่วนผู้เห็นท่าน้ำเหมือนทางเสือนั้นคือ  คนที่มาในระหว่างท่าน้ำย่อมต้องการน้ำจะมีทั้งหญิงและชายมาในที่นั้นย่อมเหมาะสมสำหรับการสังวรอินทรีย์เพราะรูปของสตรีเป็นมลทินของพรหมจรรย์  เป็นต้น
๑.๕)  คติธรรมสอนใจ71
    ชาติที่เป็นใหญ่เจ้า    อย่าเบียดคนทุกข์ เจ้าเฮย
    ให้ค่อย กุณาฝูง        ไพร่เมืองคนไฮ้
    เห็นว่า เป็นใหญ่แล้ว    ใจผอกอธรรม
    ไผบ่  พ่นเพียงตัว    เมื่อมีกำลังกล้า
        เป็นเจ้า        ให้ฮักไพร่ทั้งหลาย
        เป็นนายคน    ให้ฮักสหายและหมู่
        เป็นกวน    ให้อักลูกบ้าน
        คันซิต้าน    ให้ค่อยเพียรจา
    ๑.๕.๑)  คำสอนที่เป็นปริศนาธรรมของเสียวสวาสดิ์
        นกอีเอี้ยง    กินหมากโพธิไฮ
        แซวแซวเสียง    บ่มีตัวฮ้อง
        แซวแซวฮ้อง    ตัวเดียวหมดหมู่
    (หมายถึงหมู่ประชาชนจำนวนมากมายแต่หาคนที่ดีไม่ได้  ส่วนวรรคที่สามนั้นหมายถึงคนเดียวทำดีอยู่ผู้เดียวแต่คนจำนวนมากไม่ทำความดีหรืออาจทำความชั่วไปหมดทุกคน)  และสอนไว้ว่า  ถ้าทำตนให้แปลกออกไปจากสังคม  ก็ย่อมจะถูกคนส่วนใหญ่ตำหนิก็ได้หรือกล่าวในเชิงอุปมาอุปไมยเพื่อให้เกิดความคิดที่รอบครอบเช่น
        สิบชิ้น        บ่หอนท่อโตปลา
        สิบลุงอาว์    บ่ปานพ่อแลแม่
        สิบเฒ่าแก่    บ่ปานผัวและเมีย
        เก้าเมียสิบเมีย    บ่ห่อนท่อพี่และน้อง
        เก้าห้องสิบห้อง    บ่ท่อโคตรเชื้อวงวาน
        เก้าทานสิบทาน    บ่ท่อทานให้สังฆะเจ้า
        สิบปากเว้า    บ่ท่อตาเห็น
        สิบตาเห็น    บ่ท่อมือคลำ
        เก้ากำสิบกำ    บ่ท่อกำแก้ว
        สุดยอดแล้ว    คือพ่อแม่ครูอาจารย์
    ๑.๕.๒)  สอนเรื่องบาป-บุญ นรก-สวรรค์  นับว่าเป็นความเชื่อที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวอีสานมากที่สุด  และดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเด่นของวรรณกรรมเรื่องนี้  ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าใครทำกรรมอย่างไรก็จะได้รับผลกรรมอย่างนั้น เช่น
        บ่มีใผหนีได้        เวรังหากเทียมอยู่
        เวรมาฮอดแล้ว        ซิไปเว้นที่ใด
        บ่มีใผเถียงได้        เวรังหากเป็นใหญ่
        เวรตายวายเกิดขึ้น    หนีเว้นหลีกบ่เป็น
        มันก็    ตายไปตกอเวจี    อยู่นานในหม้อ
            นาฮกไหม้    ทั้งคิงจมอยู่
            ทนทุกข์ฮ้อน    แถมซ้ำเวทนา
        เจ้าก็    ฮักษาศีลไว้    ผองซีวังเท้าชั่ว
        คันว่า    บรมิ่งเมี้ยน    เมือฟ้าสู่สวรรค์
๑.๖  สอนให้เคารพพระรัตนตรัย  คือพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ ดังคำกลอนดังนี้คือ
        อันหนึ่งคำผู้เฒ่า        เว้าแต่โบราณ
        เชือกสามวาล่ามช้าง    อ้างโอดว่าโตดี
        ท่านหาอุปมาแก้ว    สามประการคือเชือก
        ช้างเปรียบได้        โดยด้ามดั่งชี
        คือว่าสมณาสเจ้า        ฮักษาฮีตครองสงฆ์
        ทรงสิกขา        หมั่นเพียรระวังล้อม
        บ่ได้สำหาวกล้า        วาจาอวดอ่ง
        คันว่าหลงเม่ามั่ว        เสียเป้เมื่อลุน
        ปุนดั่งสัตว์สิ่งเชื้อ    ชื่อว่าจินาย
        จาความหาญ        ซิรบเล็วชนช้าง
        บาดห่ากุญชโรได้    ยอยังตีนเหยียม
        มันก็มรณ์มิ่งเมี้ยน    มีได้ยียยาม72
๑.๗)  สั่งสอนให้เมาในยศศักดิ์
        เมื่อได้เป็นผู้ใหญ่มีบริวารห้อมล้อมสมบูรณ์ด้วยข้าวของเงินทอง  อย่างได้พูดจาโอหัง  ให้รู้จักผ่อนหนักเป็นเบา  และให้รู้จักแบ่งปันความสิ่งของให้แก่ลูกน้องและบริวารอื่นๆด้วย  เวลาเกิดภัยอันตรายมาบริวารจักได้ช่วยกันป้องภัยให้  ดังคำกลอนว่า
        คันว่าเฮาหากได้        ทรงอาจเป็นขุน
        มวลทาสา        แห่แหนหลังหน้า
        อย่าได้วาจาเว้า        ยอโตโอ้อ่ง
        พลไพร่พร้อม        เมืองบ้านจึ่งบาน
        ยามเมื่อเฮาหากได้    ผ้าผ่อนแพรพรรณ
        โภชนังมี        พร่ำมวลเงินใช้
        จ่งได้ปุนปันให้        ทาสาน้องพี่
        แลเหล่ามิตรพวกพ้อง    สหาแก้วแก่นเกลอ
        ยามเมื่อต้อง        ภัยเภทอันตราย
        ทั้งมวลจัก        ช่วยปองปุนป้อง
        เทียมดั่งเฮือนเฮาสร้าง    หลังสูงกว้างใหญ่
        ยังเอาเสาแก่นไม้        มาล้อมแวดวัง72
๑.๘)  สั่งสอนให้รู้จักการช่วยเหลือกัน
       การพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าชายหรือหญิง  ไพร่ผู้ดีมีหรือจนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน  คนมีก็ช่วยเหลือคนจนด้วยการแบ่งปัน  ผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือเด็กด้วยการคุ้มครองป้องกัน  ท่านอุปมาไว้เหมือนดังน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า  ดังคำกลอนดังนี้คือ
        มวงพี่น้อง        ต้องเพิ่งพากัน
        คราวเป็นตาย        ช่วยกันปองป้าน
        ยามมีให้            ปุนปันแจกแบ่ง
        คราวทุกข์ใฮ้        ปุนป้องช่วยปอง
        เทียมดังดงป่าไม้        ได้เพิ่งยังเสือ
        คนบ่ไปฟังตัด        คอบเสือเขาย้าน
        เสือก็อาศัยไม้        ในดงคอนป่า
        ฝูงหมู่คนบ่ฆ่า        เสือได้คอบดง73
๑.๙)  สั่งสอนให้มองเห็นโทษภัยของการพนัน
                ใผผู้มัวเมาเล่น        เบี้ยโบกเบอร์หวย
        ฮุกสะกากับ        คว่างคีตีฆ้อน
        สุราเหล้า        ญิงเกกางกาด
        หมกมอกมั้ว        เฮือนย้าวบ่ลำเพอ
        แม้นจักมีคู่ซ้อน        ผัวมิ่งเมียแพง
        บุตราตน        ฮักหอมทอมเลี้ยง
        ก็เล่าไลวางเว้น        ปะไปดายเปล่า
        ลางผู้เททอดให้        ขายได้ลูกเมีย
        แม้นว่าเป็นเจ้าช้าง    ม้ามิ่งวัวควาย
        เงินคำของ        โกฏิกือแสนตื้อ
        ครันว่าการพนันเข้า    สิงใจจงจอด
        ลอนท่อมุดมอดเมี้ยน    จิบหายแท้เที่ยงจริงฯ
๑.๑๐)  สั่งสอนให้รู้จักทำงานอย่ารอคอยโชควาสนา
       ความมั่งมีหรือยากจนนั้น  ความรวยหรือจนนั้นเป็นของกลางๆไม่เป็นของใครโดยตรงอยู่ที่ว่าใครจะนำเอาโอกาสนั้นๆมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเอง  ดังคำกลอนดังนี้คือ
        อันหนึ่งครั้นอยู่บ้าน    หรือถิ่นแดนใด
        ครั้นเฮาทำความดี    โชคชัยมีหั้น
        ครั้นเฮาหนีจากบ้าน    ไปเนาในอื่น
        ครั้นเฮาฮีบก่อสร้าง    ชัยนั้นแล่นเถิง
        ส่วนว่าคนขี้คร้าน    แม้นอยู่ในใด
        เถิงจักนอนกองเงิน    ช่างตามคำแล้ว
        มื้อหนึ่งเขาจักต้อง    หากินดอมไก่
        แลเล่านอนสาดเหี้ยน    เม็นน้อยไต่ตอม

ฺบ้านดอนเรดิโอออนไลน์




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons