ผญาภาษิตอีสานแบ่งตามลักษณะของเนื้อหา
ลักษณะเนื้อหาของผญาภาษิต ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ แต่เน้นความลึกซึ้ง และต้องเป็นสอนไปในตัว หรือให้เกณฑ์อันใดอันหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต ผญาภาษิตอีสานนั้นเป็นทั้งปรัชญาธรรมและปัญญาธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์ อันแฝงไปด้วยคติ แง่คิด เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักวิชา อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด ผญาที่เป็นภาษิต ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญาภาษิตนี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตเมื่อนำมาจัดแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาแล้ว ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาของคำผญาได้เป็น ๔ ประเภท คือ
๑ ) ผญาภาษิต
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ แต่เน้นความลึกซึ้ง และต้องเป็นสอนไปในตัว หรือให้เกณฑ์อันใดอันหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต ผญาภาษิตอีสานนั้นเป็นทั้งปรัชญาธรรมและปัญญาธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์ อันแฝงไปด้วยคติ แง่คิด เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักวิชา อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด ผญาที่เป็นภาษิต ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญาภาษิตนี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
๒) ผญาอวยพร
การอวยพรมักจะใช้ในโอกาสต่างๆ ส่วนมากเป็นคำพูดของคนสูงอายุ ผู้อาวุโสหรือคนรักใคร่นับถือกันและเจตนาดีต่อกัน พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง หรือผู้รับพร เพื่อให้กำลังใจ และหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ ความสบายใจอาจใช้ในพิธีต่างๆเช่นในการสู่ขวัญ ผูกข้อต่อแขน หรือในโอกาสอื่นๆแล้วแต่ความเหมาะสม ผญาอวยพรเป็นบ่อเกิดสำคัญทางสุนทรียภาพอันเป็นอาหารทางจิตใจ ผญาอวยพรนี้ยังสะท้อนถึงความเชื้อของคนในท้องถิ่นภาคอีสานได้เป็นอย่างดี
๓) ผญาพังเพย
คำผญาพังเพยนี้มักจะกล่าวสอนขึ้นมาลอยๆ เป็นคำกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง คำพังเพยคล้ายสุภาษิต มีลักษณะเกือบเป็นสุภาษิต เป็นคำที่มีลักษณะติชม หรือแสดงความคิดเห็นอยู่ในตัว เช่น ทำนาบนหลังคน คำพังเพยไม่เป็นสุภาษิตเพราะไม่เป็นคำสอนแน่นอน และไม่ได้เน้นคำสอนในตัวเอง
ลักษณะของคำพังเพยอีสานนี้เรียกอีกอย่างว่า คำโตงโตยหรือยาบสร้อย บางท้องถิ่นนิยมเรียกว่า ตวบต้วยหรือยาบเว้า เป็นข้อความในเชิงอุปมาอุปไมยที่ไพเราะสละสลวยและมีความหมายลึกซึ่งคมคายเช่นเดียวกับผญาภาษิต บางคำมีความหมายลึกซึ้งเข้าใจยากกว่าผญาภาษิตมาก ต่างก็กับผญาภาษิตตรงที่คำพังเพยหรือยาบสร้อยนี้ไม่เป็นคำสอนเหมือนผญาภาษิต เป็นเพียงคำเปรียบเทียบที่ให้ข้อเตือนใจหรือเตือนสติให้คนเรานึกถึงทางดีหรือทางชั่วนอกจากเป็น
๔) ผญาเกี้ยว
เป็นคำผญาที่หนุ่มสาวใช้พูดจากกัน เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีในโอกาสพิเศษบ้าง เพื่อเป็นสื่อให้ฝ่ายหนึ่งเข้าใจในความนัยส่วนลึกของหัวใจตน ผญาเกี้ยวนี้มีความหมายเกี่ยวข้องถึงประเพณีของท้องถิ่นอีสานด้วย หรือผญาประเภทนี้มีบ่อเกิดมาจากประเพณีต่างๆของท้องถิ่นอีสานนั้นเอง คือชาวอีสานในอดีตมีประเพณีเล่นสาวในวาระต่างๆ การที่หนุ่มสาวได้ใช้คำผญาพูดกันเพื่อเป็นการทดสอบภูมิปัญญาของอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ หรือเพื่อแสดงถึงความรักจริงหวังแต่ง หรือแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องมีความซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตนเองดังตัวอย่าง ผู้ชายจะชอบพูดว่า “สัจจาผู้หญิงนี้มีหลายก้าน ชาติดอกเดื่อมันบ่บานอยู่ต้นอ้ายบ่เซื่อคน ดอกน่า” (คำพูดของหญิงไม่เคยจริงสักครั้งเหมือนดอกมะเดื่อ ไม่บานอยู่บนต้นคนย่อมไม่เห็นประจักษ์ความจริง) ผู้หญิงก็จะโต้ตอบมาในเชิ่งเปรียบเทียบว่า “กกจิกมันมีหลายก้าน กกตาลมันมีหลายง่า สัจจาน้องได้ว่าแล้ว สิมายม้างบ่เป็น ดอกอ้าย” (ต้นจิกมีกิ่งก้านมากมาย ต้นตาลก็มีหลายแขนง แต่ว่าคำพูดน้องนี้ได้กล่าวแล้วก็มั่นคงไม่แปรผัน) คำพูดทั้งสองฝ่ายต่างก็สะท้อนถึงจริยธรรมเสมอ คือมั่นคงในคำพูดของกันและกัน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน การคบกันก็จะพัฒนาเกิดเป็นความรักจริง