วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

9 สิ่งที่ผู้หญิงอยากได้


 9* สิ่งที่ผู้หญิ๋งผู้เขาอยากได้จากความรัก

นอกจากตามหา ความหมายของชีวิตแล้ว ผู้ชายหลายคน ยังเคยสงสัยว่า ผู้หญิงต้องการอะไร เวลาที่เธอมีความรักนี่คือรายการ 9 สิ่ง ธรรมดา แต่มีความสำคัญสำหรับผู้หญิง ซึ่งเธอต้องการ เมื่อมีความรักกับผู้ชายคนหนึ่ง อย่างไร ก็ตาม ก็ไม่มีทาง ที่ผู้หญิงจะมีความต้องการเหมือนกันทุกคนไปซะหมด บางคนอาจจะนึกถึงเรื่องความห่วงใยใส่ใจเป็นลำดับแรก บางคนอาจะนึกถึงการได้ใช้วิตคู่อย่างสะดวกสบาย เป็นลำดับแรก ฯลฯ แต่ สิ่งต่อไปนี้ คือรายละเอียด สำคัญในความรัก ที่เมื่อผู้หญิงได้รับ แล้วจะมีความสุขอย่างแน่นอน


1. การยอมรับ
ผู้หญิงต้องการให้คนรักของเธอ แสดงออกว่า เขาเคารพในความคิดของเธอ หน้าที่การงานของเธอ สิ่งที่เธอสนใจ งานอดิเรก เพื่อนฝูงรอบข้าง รูปร่างหน้าตา ตลอดจน จิตใจของเธอ ผู้ชายไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยไปกับสิ่งที่ผู้หญิงพูด หรือทำทั้งหมด แต่ต้องพยายามแสดงความคิดเห็น และยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ผู้หญิงอยากได้รับการปฏิบัติที่ดี จากผู้ชาย เหมือนดั่งที่ผู้ชาย อยากได้รับการปฏิบัติที่ดี จากผู้หญิงเช่นกัน ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายมีความซื่อสัดย์ ยุติธรรม ใจดี และใส่ใจเธอ

2. โรแมนติก

แม้ว่าจะเป็นวันธรรมดา อย่างเช่น อยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะทำอะไรที่โรแมนติกให้กับผู้หญิงไม่ได้ เพียงแค่ทำอาหารรับประทานกันใต้แสงเทียน ก็โรแมนติก สร้างความโรแมนติก ได้ ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายปฏิบัติ เหมือนตอนที่จีบ หรือเป็นแฟนกันใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะคบหรืออยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว พาไปเที่ยว จูบเบาๆ เหมือนตอนที่จูบกันครั้งแรก มอบดอกไม้ให้แบบเซอร์ไฟรซ์ แม้ว่าจะเป็นดอกใม้ราคาไม่กี่บาท เพียงแค่ดอกเดียว นั่นก็ทำให้ผู้หญิงยิ้ม อย่างมีความสุขได้


3. มีเวลาให้

ผู้หญิงเข้าใจในสายสัมพันธ์ดี ว่ามันไม่ได้สวยงาม หรือหนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอด แต่ผู้หญิงเพียงแค่ต้องการ เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน มากยิ่งกว่า คำพูดหวานๆ ข้อความหวานๆ หรือของขวัญ การให้เวลายังรวมไปถึง ให้ความช่วยเหลือเธอในเรื่องต่างๆ เช่น ถ้าแต่งงานกันแล้ว ก็ช่วยกันทำงานบ้านบ้างก็ได้ (นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ! ผู้หญิงก็ต้องทำงานหาเงินเหมือนกัน อย่างนี้ ผู้ชายก็ต้องช่วยกันทำงานบ้านบ้างซิ) ถ้าผู้ชายเลิกเตร็ดเตร่ และกลับมาถึงบ้านเร็วขึ้น ปัดกวาดห้องรับแขก เอาผ้าไปซักบ้าง เอาขยะไปทิ้ง ก็จะทำให้ผู้หญิงยิ้มแฉ่ง และมีความสุขมาก เวลาที่เธอกลับมาถึงบ้าน


4. ทานอาหารเย็นด้วยกัน

ทำอาหารเย็น ทานด้วยกันเองที่บ้าน แม้ว่าผู้ชายส่วนมาก จะไม่ถนัดเอาซะเลย ในเรื่องปรุงอาหารผู้ชายบางคนอาจจะยัง ไม้เคยต้มน้ำซะด้วยซ้ำ แต่ถ้าลองแบบนี้ล่ะ! ผู้ชายกลับมาบ้าน พร้อมอาหารอร่อยๆ ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย เท่านี้ผู้หญิงก็ปลื้มแล้ว เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึง ความรัก ความใส่ใจ ในช่วงเวลาที่บางที ผู้หญิงก็ยุ่งๆ จนจัดการหลายๆ เรื่องไม่ทันเหมือนกัน


5. สื่อสารกัน

ผู้หญิงส่วนมากนั้น ชอบพูด แสดงความรู้สึกออกมา และผู้หญิงก็จะรู้สึกดี ที่ได้ยินผู้ชาย พูดเปิดเผยความรู้สึกออกมาเช่นกัน ผู้หญิงอยากให้คนคนรักของเธอ บอกกับเธอว่าชอบเธอที่ตรงไหน เพราะนั่นจะทำให้เธอรู้สึกดีมาก ชมเธอเวลาเธอทำอาหารอร่อยๆ สนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นเวลาที่เธอทำความสะอาดบ้าน ไม่ต้องถึงกับชมเธอในทุกๆเรื่อง แต่แสดงให้เห็นถึงความพยายาม และความใส่ใจ เท่านั้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว


6. สม่ำเสมอ

ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะต้องทำอะไรแบบเดิมๆ ที่คาดเดาได้ไปตลอด แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย แต่หมายความว่า ผู้ชายจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ (แน่ละ! มันต้องใช้ความพยายามมาก และก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่องหรอก!) ผู้หญิงต้องการได้รับความแน่ใจว่า คนรักของเธอพร้อมจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยกัน และทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย


7. จับจองหัวใจ

พูดถึงเรื่องนี้ หมายความว่า มีเป้าหมายร่วมกัน วางแผนร่วมกัน ทำอะไรร่วมกัน งานอดิเรก เล่นกีฬา ลงทุนทำอะไรด้วยกัน และผู้หญิง ก็ยังอยากให้คนรักของเธอ ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยากเช่นที่เธอ จำได้ว่า คนรักของเธอ ไม่ชอบดาราคนไหน เพื่อนเก่าที่สนิทชื่ออะไร และเรื่องราวที่เคยทำร่วมกัน เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้หญิงมองว่า เป็นการแสดงความรัก ให้กันและกัน

8. อารมณ์ขัน และความนอบน้อมถ่อมตัว

สองสิ่งนี้ ถ้าไปด้วยกันได้ จะดีมากเลย ไม่ได้หมายความว่า ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายเป็นดาวตลกคาเฟ่ ที่จะให้ความบันเทิงกับเธอได้ตลอด แต่เพียงแค่ให้คนรักของเธอ มีอารมณ์ขัน ให้ตัวเองได้หัวเราะก็พอแล้ว เพราะผู้ชายที่เอาจริงเอาจรัง จนถึงขั้นดูเครียดเกินไป จะทำให้เธอ และคนรอบข้างพลอย เครียดไปด้วยน่ะซิ


9. ความท้าทาย
หมายถึงความต้องการที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน มีงานวิจัยในต่างประเทศ ที่บ่งชี้ว่า คู่รักที่มีการว่างเป้าหมายร่วมกัน - ในอีกความหมายหนึ่ง คือแบ่งหน้าที่กันและกัน ชี้จุดผิดพลาดของแต่ละฝ่าย และแก้ไข คู่รักชายหญิงแบบนี้ จะมีความสุขมากกว่า คู่รักที่ไม่ค่อยมีอะไรรับผิดชอบร่วมกัน




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons