วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตอนสอนจระเข้ว่ายน้ำ

 

 

สอนจระเข้ว่ายน้ำ
 

             สอนจระเข้ว่ายน้ำ คูแท้มีจริงหรือ อ่านบทความมาก็หลายบทแล้ว เห็นความทุกข์ยากในการมีแฟนมากมายนักหนา แต่ทุกผู้ทุกนามก็ยังวิ่งไปหาความรัก ลองมาฟังคำแนะนำจากชายท่านผู้รู้(กูรู)ผู้มีวัยแรกแย้ม(ฝาโลง)ดูบ้างไหมครับ? วันนี้ขอให้คำแนะนำสำหรับผู้ชายก่อน แน่นอน! คำแนะนำจากคนที่อายุมากขนาดนี้ ย่อมมิได้เป็นไปเพื่อหาคู่นอน แต่เพื่อหาคู่ชีวิต และตำราหาคู่นอนเขาคงพิมพ์ขายกันกลาดเกลื่อนเต็มเช้วฟ์แล้ว ย้อนคิดไปสมัยเยาว์วัย โอ้... ทำไมการจะมีแฟนกับเขาสักคน มันช่างยากเย็นลำเค็ญจิตได้ขนาดนั้น แถมเวลาหน้าเทศกาล เช่น วันวาเลนไทน์ วันคริสตมาส เห็นคนมีแฟนเดินจับมือ เกี่ยวก้อยกัน ไปดูหนังด้วยกัน มันจี๊ดเข้าไปในหัวใจ อยากมีอย่างเขาบ้าง แต่ทำไงดีวะครับ จีบหญิงไม่เป็น พยายามจีบเท่าไหร่ เขาก็ไม่เล่นด้วย ประสบการณ์สามสิบห้าปีกว่าเป็นประกันครับว่า ถึงเวลาแล้ว เจอเอง ถ้ายังไม่ถึงเวลา หาไปเหอะ เหมือนงมอนุภาคนาโนซิลเวอร์ในมหาสมุทรทั้งสี่ แล้วคนที่เจอเองนี่ จักเป็นคนที่ยั่งยืนกว่า คนที่เราไปขวนขวายทุ่มเทชีวิตจิตใจเสียการงานเสียการเรียนจีบเสียอีก นั่งดูชีวิตของหลาย ๆ คู่ พวกที่จีบยาก ๆ ผู้ชายแทบอุทิศชีวิตให้เป็นทาส ตอนจีบใหม่ ๆ เห็นเพลาผ่านไป พอผู้หญิงเริ่มมีใจให้ ก็กลายเป็นช่วงเอาคืน ผู้ชายตอนแรกโทรเช้าถึงเย็นถึง พอจีบติดแล้วก็หายหัวไปอยู่กับเพื่อน ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายโทรตามจิก จิ๊ก ๆ ๆ เป็นวู๊ดดี้ การ์ตูนนกหัวขวาน (บิ๊ป ๆ) ย้อนมองตัวเองในเพลานั้น แล้วก็คิดถึงแม่เหล็กแห่งสัตว์ ในทฤษฎีนั้น เขาว่า สัตว์ทั้งหลายจักมีแรงดึงดูดเข้าหากัน หากแต่ว่า ในเพลาที่เราพยายามจักหาแฟน มันกลับกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ยิ่งใกล้ยิ่งผลักกัน ยิ่งอยากมีแฟนมาก สาว ๆ ยิ่งเหวอมาก ทฤษฎีแม่เหล็กแห่งสัตว์นี้ ไม่เกิดเฉพาะกันคนที่ยังไม่เคยมีแฟนนะครับ กระทั่งผู้ที่เก๋าในเกมรัก หากพลาดไปลดเสถียรภาพของตนเอง ก็มีสิทธิ์สลับขั้วจากแม่เหล็กดึงดูดระดับคาซาโนว่า กลายเป็นเด็กเนิร์ดผลักกระจายได้เช่นกัน ฉะนั้น

                           คำแนะนำจากพี่เขาข้อที่ ๑

            สำหรับบุรุษผู้แสวงหาความรักที่ยั่งยืน คือ ต้องทำตนให้มีเสถียรภาพ ครับ แล้วเสถียรภาพคืออะไร? มันคือความมั่นคงทางจิตใจครับ ในความเห็นของข้าพเจ้า บุรุษจักมีเสน่ห์มาก ก็ตอนที่เขา "อิ่ม" ไม่ใช่อิ่มทางกายนะครับ แต่เป็นความอิ่มทางใจ อิ่มในความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในที่นี้ อาจมาจากความอิ่มทางอารมณ์ ที่เกิดจากครอบครัวที่อบอุ่นก็เป็นได้ ชายที่มีความอิ่มอย่างเพียงพอ จักมีออร่าพร้อมจักแผ่ความอิ่มอารมณ์นี้ไปสู่ผู้อื่น ตรงข้ามกับชายผู้มีแต่ความขาด เขาก็แผ่ออร่าวิ่งสู้ฟัด หิวกระหายจักกัดกินเหยื่อทุกเวลาออกไปเช่นกัน สังเกตได้ครับ ผู้หญิงมักต้องตาต้องใจเป็นพิเศษกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว แหม... ไม่น่ามีแฟนแล้วเรย เราพบกันช้าไป ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง กระไรเทือกนั้น หรือสมัยนี้ ไม่ใคร่ให้ความสำคัญเรื่องศีล ก็อาจหาวิธีแย่งผัวชาวบ้าน แอบสวมเขาให้เพื่อนตัวเองไรงี้ ซึ่งสิ่งที่ได้มา มีแต่ความร้อนอกร้อนใจ หาความสุข แลความยั่งยืนมิได้เลย ย้อนกลับมาวิเคราะห์ครับ ทำไมผู้ชายที่มีแฟนแล้ว ถึีงดูมีเสน่ห์ ก็เพราะ "ความอิ่ม" นี่เอง ก่อนเขามีแฟน เขาอาจจักเป็นคนที่ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัวมาก่อน ชีวิตไม่สมประกอบมาก่อน แต่พอมีแฟนที่เข้าใจกันแล้ว บางทีแฟนเขาก็สามารถเติมเต็มส่วนที่เขาขาดไปในตอนเด็ก ๆ ได้ เขาจึงดูเป็นคนที่ "อิ่ม" ขึ้นมา หรือบางคนอิ่มมาแต่อ้อนแต่ออก ก็จักดูมีเสน่ห์ในตัวเองแม้ไม่ต้องมีแฟน ยกตัวอย่างเช่น คุณดู๋ สัญญา คุณากร เวลาเห็นชายคนนี้ยิ้มพร้อมเขี้ยวเสน่ห์แล้ว โลกดูอบอุ่นขึ้นทันตา แต่ความเป็นจริง ใน ๑๐๐ คน จักหาคนที่อิ่มมาแต่อ้อนแต่ออกสัก ๑ คนก็ยังยาก ส่วนใหญ่ก็ขาด ๆ เกิน ๆ กันทั้งนั้น ส่วนความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนอย่างที่สมัยนี้เห็นกันดาษดื่น ส่วนใหญ่มาจากคนที่ขาดทั้งคู่ หิวทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างควานหาความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในอารมณ์ จากซึ่งกันและกัน ซึ่งมันไม่มีหรอก ต่างฝ่ายต่างหิว ต่างคิดจักตักตวงเอาจากอีกฝ่าย จักไปหาความอิ่มจากที่ไหนได้ สุดท้ายก็ลงเอยที่แค่วัตถุบำบัดความต้องการทางเพศให้แก่กันและกัน แล้วก็จากกันไปในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ จักอยู่กันได้ยืดยาวหน่อย ต้องมีฝ่ายหนึ่งขาด ฝ่ายหนึ่งเต็ม ฝ่ายหนึ่งหิว อีกฝ่ายอิ่ม และพร้อมจักแบ่งปันความอิ่ม หรือต่างฝ่ายต่างอิ่มทั้งคู่ เช่นนี้ถึงจักอยู่กันได้ยาว ฉะนั้นหนุ่ม ๆ อย่างเรา ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มให้ครับ เติมตัวเองให้เต็มเสียก่อนเลย ทีนี้อีตอนเติมให้เต็มนี่ละยากซซซซซ์ คนที่ขาด ก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองขาด ซ้ำไม่รู้อีกว่า เจ้าคนที่เต็ม หน้าตามันเป็นเยี่ยงไร นี่เป็นการบ้านที่ต้องไปทำ ไปค้นหาเอาเองครับ โถ... เล่นเฉลยกันหมด ก็ไม่หนุกดิ วิธีง่าย ๆ อาจไปลองสังเกตบุคลิกของคนที่มีเสน่ห์ (จากความอิ่มอารมณ์) แล้วนำมาเลียนแบบ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจมากมาย เพราะผู้หญิงฉลาด ย่อมดูออกว่า อันไหนจริง อันไหนเฟค และถ้าเลียนแบบได้แค่ท่าที พระเจ้าจอร์จ มันขัดกับเสน่ห์ข้อต่อไปหยั่งเรงนิ เสน่ห์ที่รัดรึงใจสาว ๆ ให้ นะจังงัง งงงวย ไปกับกลิ่นเต่า เอ้ย... หัวปักหัวปำหลงใหลได้ปลื้มไปกับเราได้ยาวนาน มิใช่ first impression หรือความประทับใจแรกเห็นครับ หากแต่เป็นความเป็นตัวของตัวเอง คนเราจักเฟค ปลอมแปลงตัวเองไปได้สักกี่นานครับ ช่วงแรกของการจีบ อาจมีความอดทนสูง ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกประการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ แต่จีบไปนาน ๆ พลังความอึดก็หมดครับ หรือไปน้ำมันหมดตอนเป็นแฟนกันแล้ว ยิ่งโซแซดเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงการทะเลาะเบาะแว้ง การไม่เข้าใจกัน รับกันไม่ได้ ที่ตามมา แล้วลงเอยที่การเลิกร้างจากกันไป บางคู่กลายมาเป็นเพื่อน บางคู่ (ส่วนใหญ่) มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย

                         คำแนะนำจากพี่เขาข้อที่ ๒

          จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นพระเอกครับ ไม่มีแมวที่ไหนชอบผู้ชายเลว ๆ ครับ ส่วนใหญ่ที่ชอบผู้ชายเลว ก็เนื่องด้วยอกุศลวิบากแต่กาลก่อนของหญิงผู้นั้นเอง โดยปกติแล้ว ใครแม่มจักอยากได้สามีที่ลับหลังแค่นาทีเดียว ก็กลายเป็นผัวคนอื่นครับ หรือไม่ก็หลงใหลชายขี้ยา วัน ๆ ไม่ทำมาหากิน เสพยา กระดกเหล้าเมาแอ๋ได้ทั้งวันทั้งคืน หรือชอบใจที่จักขลุกอยู่แต่กับชายผีพนัน แทงบอล แทงหวย แทงไฮโล ปู ปลา บ้า ใบ้ แทงกระทั่งปลาไหล (อ้าวเฮ้ย... เกี่ยวไหมเนี่ยะ) ร้อยทั้งร้อยสาว ๆ เธอก็ชอบผู้ชายดี ๆ ยกเว้นเธอจักมีความผิดปกติกระไรบางอย่าง ฉะนั้นในคำแนะนำข้อนี้ ท่านไม่อาจเป็นคนดีแค่เปลือกครับ ท่านต้องเป็นคนดีแต่ภายใน จึงมาประกอบเข้ากับความเป็นตัวของตัวเองแล้ว กลิ่นเสน่ห์ของท่านจึงจักหอมสพรั่ง คำแนะนำทั้งสองนี้ อ่านดูแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก การที่เราจักแปลงกายเป็นคนอิ่มอารมณ์ หรือเป็นคนดีจากข้างใน เหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันสองวัน แต่เธอผู้นั้น อีกสองวันอาจเปลี่ยนไปเป็นแฟนคนอื่นก็ปล่อยเธอไปครับ บอกแล้วว่า นี่ไม่ใช่บทความแนะนำวิธีการหาคู่นอน การหาคู่แท้ที่ยั่งยืน คงต้องอาศัยเวลา และทำการบ้านกันเยอะหน่อยความเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากจากคำแนะนำทั้งสองนี้ เป็นไปได้ด้วยการปฏิบัติธรรมครับ เชื่อมะ? คงเชื่อได้ยากละซี มาลองดูกันครับว่า ความมหัศจรรย์ของการเป็นตัวของตัวเองนั้น ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไรข้อแรกคือ เสถียรภาพของจิตใจ เติมเต็มจิตใจตนเอง เชื่อไหมครับว่า ที่คนเราทำนั่นทำนี่ แก้โน่นแก้นี่เกี่ยวกับตัวเองไม่ค่อยได้ แล้วมักอ้างว่า "ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้" ความจริงแล้วมีสาเหตุใหญ่ที่ซู๊ดเลย คือ "ไม่รู้จักตนเอง"บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงมีจริยาเช่นนั้นเช่นนี้ การเป็นตัวของตัวเอง(มีความรู้สึกตัว) จักทำให้เรารู้ตัวบ่อยขึ้น ไม่เผลอไผลทำกิริยาไม่น่ารักไม่น่าดู หรือแม้จักรู้ตัวหลังจากพลาดทำตัวไม่ดีเช่นนั้นแล้ว ก็กลับมาศึกษาพฤติกรรมตนเองได้มากขึ้น บางคนเผลอ ๆ ไผล ๆ ไปทั้งวัน ก็เลยไม่มีกระไรจักพิจารณา ไม่มีกระไรจักศึกษา ก็ฉันดีเยี่ยมยุทธอยู่แล้ว จักให้ไปพัฒนากระไรอีก คิดเช่นนี้ หาคู่แท้ไปทั้งชาติก็อาจไม่เจอครับ เพราะแค่ตัวเองยังไม่รู้จักเลย จักเติมเต็มตนเองได้ ต้องเริ่มรู้จักตนเองก่อนครับ เราเป็นคนขี้เหงา เราเป็นคนขี้ใจน้อย เราเป็นคนโรแมนติก เราชอบให้ผู้อื่นเทคแคร์ เราเป็นคนขี้โมโห ถ้าใครมาทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา เราจักโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เราเป็นคน... บลา ๆ ๆ ต้องรู้ให้ชัด รู้ให้แน่ รู้ให้ลึกจักพัฒนาตนเองได้ ต้องรู้ให้ซึ้งถึงสาเหตุที่ทำให้เรามีพฤติกรรมแบบนี้ แล้วเป็นไปได้ ก็ทำลายมันซะ พวกนิสัยห่วย ๆ ที่ไม่มีใครเอาหน่ะ จักรู้ว่า เรามีนิสัยห่วย ๆ ขึ้นมาตอนไหน ถ้าไม่มีกระจกเงาให้ส่อง ประเภทเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ ก็ต้องพึ่งตนเอง การเจริญสติของเรานี่เอง จักทำให้เราทราบว่า ความชั่วร้ายของเราจักแพลมออกมาตอนไหนบ้าง "สติ" สำคัญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อครับ ครูบาอาจารย์กล่าวไว้เจริญสติไปเรื่อย ๆ ก็คือการเติมเต็มชีวิตไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็เต็มจุดสังเกตหนึ่งของคนที่เต็มแล้ว จักสะกดคำว่า "เหงา" ไม่เป็นครับ และคนที่เหงาไม่เป็น ก็คือผู้ที่มีเสถียรภาพ มีความมั่นคงทางจิตใจสูงแม้ไม่ที่สุด แต่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า "อิ่ม" ยกตัวอย่างให้เห็นภาพผลของการเจริญสติ สมมุติว่า เราเจริญสติจนรู้แล้วว่า เราเป็นคนขี้เหงา ค้นเข้าไปในใจเราครับว่า กระไรทำให้เราเป็นคนขี้เหงา ความขี้เหงามักมาจากความต้องการให้ผู้อื่นระลึกถึง ต้องการเป็นคนสำคัญ คนขี้เหงาส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการถูกทิ้งไว้ลำพังเมื่อตอนเด็ก ตอนแบเบาะอยากให้มีคนอุ้มแล้วไม่มีคนอุ้ม ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งนี้จักฝังลึกเป็นปมอิดิปุสอิเล็คตร้ามาม่าไวไว สำหรับคนขี้เหงามาแต่นั้น แม้รู้แล้ว จักทำกระไรได้...ก็การเจริญสตินี่แล สามารถทำลายความขี้เหงาได้ พอความเหงาโผล่ขึ้นมา ก็ให้รู้ว่า เหงา อย่าไปเกลียดมัน อย่าไปอยากให้มันหายไป อย่าไปหนีมัน ชนกับความเหงาเข้าไปตรง ๆ เลย เห็นให้ได้ว่า ความเหงามันไม่เที่ยง มันมาแล้วมันก็ไป ไม่มีใครบ้าเหงาตลอด ๒๔ ชั่วโมงครับ ความเหงาก็เหมือนอารมณ์อื่น ๆ มาแล้วก็ไป ๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ที่สุดจักทำความเหงาตกหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบ ถ้ามีสติดีแล้ว ท่านก็ย่อมเป็นคนดีแน่นอน เพราะสติจักไม่เกิดกับผู้ที่ไม่รักษาศีล ผู้ไม่รักษาศีล ชีวิตจักมีแต่ความฟุ้งซ่าน วุ่นวาย เมื่อท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ เป็นอย่างดีแล้วไซร้ การเป็นตัวของตัวเองของท่านก็ย่อมทำให้เสน่ห์ของท่านฟุ้งขจรไกล เพราะแม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสยืนยันว่า กลิ่นของความดีงามนี้ หอมทวนลม วันนี้ขออารัมภบทกันแค่นี้ก่อน ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายในการบริหารเสน่ห์อีกมากครับ ทุกอย่างล้วนใช้สติปัฏฐาน เป็นตัวกำกับ อยากรู้เคล็ดไม่ลับทั้งหลายติดตามต่อไปตอนหน้าครับ

จบตอน ๑ จากพี่ๆเป็นคาสโนวาส่งมา




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons