วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณบ่งบอกว่า "เค้าปิ๊งคุณเข้าแล้ว"

สัญญาณบ่งบอกว่า "เค้าปิ๊งคุณเข้าแล้ว"
ว่ากันว่า... เรื่องของความรักมักไม่เข้าใครออกใคร บางคนรักคนที่เขาไม่ได้รักเรา บางคนรักคนที่เขารักเรา แต่เรากลับรู้สึกว่ารักใครอีกคน ในขณะที่เราก็ยังรักเขาอยู่ โอ้ย... ซับซ้อน ซ่อนเร้น พาให้งงงวยสุด ๆ ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกนั่นแหละว่า "ความรักมักไม่เข้าใครออกใคร" ยากที่จะอธิบายให้ใครอื่นเข้าใจได้ ในเมื่อบางทีเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ (จริงไหม)
เอาล่ะ!! ความรักจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ จะรักซ้อนซ่อนเงื่อน แอบรักเพื่อน รักแฟนชาวบ้าน หรือว่าแอบรักคนข้างบ้าน (ก็ว่าไปนั่น) ทั้งหมดทั้งมวลก่อนเกิดความรู้สึก "รัก" ล้วนเกิดจากความถูกใจ ความชอบ หรืออาการแปลก ๆ ที่เราเรียกมันสั้น ๆ ว่า "ปิ๊ง" ก่อนนั่นเอง
วันนี้เราจะไม่พูดถึงอาการของคนที่แอบปิ๊ง ว่าจะมีพฤติกรรมเพี้ยน ๆ ยังไง แต่เราจะมาดูสัญญานประหลาด ๆ ที่มีเสียงดังว่า... ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง แถมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเรา หากคุณกำลังคิดและสงสัยว่า มีใครบางคนกำลังแอบปิ๊งคุณอยู่ ก็ตามไปดูสัญญานแปลก ๆ ต่อไปนี้ได้เลย ซึ่งถ้าคนใกล้ตัวคุณเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าเขาเป็นอะไร เพราะอันที่จริงแล้ว เขาแค่กำลังปิ๊งคุณอยู่นั่นเอง... ฮิฮิ้วววววว (อันนี้สำหรับสาว ๆ โดยเฉพาะนะคะ แต่หนุ่ม ๆ ก็อ่านดูได้ ว่าทำอะไรให้คุณสาว ๆ เขาจับได้หรือเปล่า อิอิ)
อย่างแรกเลย... อยู่ดี ๆ เขาก็หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น จากเคยทำตัวซกมกสกปรก ตัวเหม็น หน้ามอม ก็เปลี่ยนมาเป็นคนสะอาดสะอ้าน หน้าใส รู้จักใส่น้ำหอม ประมาณว่าทำตัวหล่อขึ้นหวังจะให้เราสนใจในตัวเขามั่ง (555)
เขามักโผล่มาให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ แรก ๆ ก็คิดว่าบังเอิญนะ แต่หลัง ๆ ทำไม๊... ทำไมมันบังเอิญทุกวันเลยว้า... ก็รู้อยู่ว่าเวลานี้เราต้องทำอะไรที่ไหน ก็จะเห็นเขาอยู่แถวนั้นทุกทีไปสิท่า
อยู่ดี ๆ เขาก็กลายเป็นคนเสียงดังขึ้น ชอบพูดจาเสียงดัง ๆ หวังจะให้คุณหันไปสนใจล่ะสิ หรือไม่ก็จะได้ยินเสียงเขาอยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณอยู่บ่อย ๆ นั่นเพราะเขาพยายามทำให้คุณรู้ว่า เขาไม่ได้ห่างคุณไปไหน เพราะแค่ได้แอบมามองคุณ ถึงคุณจะไม่สนใจ ก็ขอให้ได้ยินเสียง (ของหัวใจ) เขาบ้าง
เขาชอบหาเรื่องมาแกล้ง หรือแหย่คุณให้งอนเล่น ๆ ไปจนถึงกวนอารมณ์คุณให้โมโห (บางทีก็โดนคุณด่าด้วย) จุดประสงค์คืออยากหาเรื่องคุยกับคุณนั่นเอง
ทำเป็นโทรหาคุณ แล้วถามว่า "เมื้อกี้โทรมาหรือเปล่า เห็นเบอร์มันโชว์" (ทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้โทรไป) พอคุณบอกไม่ได้โทรไป เขาก็ทำเป็นช่างมันเถอะ สงสัยเข้าใจผิด แล้วก็ชวนคุณคุยเรื่องอื่นต่อซะยาวยืด... (มุกนี้เคยโดนกันไหมคะสาว ๆ) บ้างก็มี sms บอกประมาณว่า... ทำอะไรอยู่ / กินข้าวหรือยัง / วันหยุดนี้ไปเที่ยวไหน ซึ่งล้วนเป็น sms ที่หวังจะให้คุณตอบกลับ (เช็คเรตติ้งว่างั้น!!)
หลังจากคุยกันครั้งแรกแล้ว เขาก็มักโทรมาหาคุณบ่อย ๆ โดยอ้างว่า คุณเป็นคนคุยสนุก คุยเก่ง นิสัยดี พูดจาน่ารัก ทำให้อยากคุยด้วย บางทีก็สรรหาเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ฮา ๆ มาคุยกับคุณ หวังจะให้คุณชอบ
เขาเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้คุณฟังอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน เพราะเขาเห็นว่าคุณเป็นคนสำคัญ
เขาให้ความสำคัญกับคุณเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน มักมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงใหญ่เวอร์มาฝากคุณตลอด จะว่าไป... ขนาดเจ้านายเขา เพื่อนสนิทเขา ก็ยังไม่ได้ของฝากขนาดนี้ (โอ้ย... อย่างนี้ก็ไม่ปกติแล้ว ฮ่า ๆ)
เขาสามารถจำบทสนทนา คำพูดของคุณ หรือกิจกรรมที่ทำร่วมกับคุณได้เกือบทุกตอน ประมาณว่า... ถามมา ตอบได้!! อับดุลเอ้ย เอ้ย! ไม่ใช่แระ (555) นอกจากนี้ เขายังจดจำเรื่องราวของคุณได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบอะไร เกิดวันไหน เดือนอะไร ปีอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร (อันหลังนี่ไม่ต้องรู้ก็ได้มั้ง)
เขามักสังเกตพฤติกรรมของคุณ ประมาณว่าเป็นห่วงเป็นใย ไม่ว่าจะไอ จะจาม จะหน้าดำหรือว่าแดง ก็เป็นห่วงไปหมด หากวันไหนหน้าซีด ขี้มูกยืดไหลย้วย (ออกแนวน่าเกลียด) ไม่นาน... ยาสารพัดขนานก็มากองอยู่ตรงหน้าคุณ
เขามักทำตัวติ๊งต๊อง ฮา ๆ บ้า ๆ เพื่อให้คุณได้หัวเราะ เพราะคิดว่าร้อยทั้งร้อย ผู้หญิงชอบผู้ชายตลก ขี้เล่น (แต่ไม่เล่นขี้) บางทีทำไปก็ไม่ขำ แต่อยากทำให้คนที่รู้สึกพิเศษมีความสุข ยิ้มได้ก็เท่านั้น (ว้าว...)
เขามักหงุดหงิดงุ่นง่าน พาลไม่มีเหตุผล (กับคนอื่น) ทุกครั้งที่มีผู้ชายคนอื่นเข้ามาใกล้ ๆ หรือยุ่งกับคุณ เป็นเพราะอารมณ์หึงหวง แต่ก็ต้องเก็บความหึงหวงนั้นไว้ในใจ เพราะแสดงออกไปมากก็ไม่ได้ ในเมื่อเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน (น่าสงสารนิด ๆ นะเนี่ย)
เขามักสัมผัสตัวคุณเท่าที่โอกาสเอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นการหยิบส่งของ ก็ขอโดนมือหน่อย พอให้หัวใจได้เต้นแรง เดินผ่านก็ขอเฉี่ยวบ้างอะไรบ้าง พอให้จิตใจได้กระชุ่มกระชวย พอเวลาไปปาร์ตี้ หรือไปหาอะไรกินกันเป็นหมู่คณะ ก็ขอนั่งข้าง ๆ โดยอ้างว่าบังเอิญเกาอี้มันว่างพอดี (จริง ๆ แล้วอยากใกล้ชิดมากกว่าอ่ะดิ๊ 555)
อูย... เผลอแป๊บเดียวไหงมันร่ายยาวไป... ยาวไปเลยว้า เอาเป็นว่าหากคนใกล้ตัวคุณมีพฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ก็เดาได้เลยว่าเขาน่ะแอบปิ๊งคุณอยู่แน่นอน จะชอบหรือไม่ชอบตอบ ก็ลองถามใจตัวเองดูแล้วกันนะคะ
ที่มาkapook.com




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons