วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บุพเพอาละวาด

 
             ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งครับในอีกหลายร้อยล้านคนที่ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาแฟนมาครอบครอง เรื่องบุพเพอาละวาดหน่ะหรือ? คงมีแต่ในนิยาย หรือการ์ตูนตาหวานสารพัดวิธีจีบสาวเสี่ยว ๆ ถูกงัดมาใช้ไม่เว้นแต่ละวัน"อยู่เฉย ๆ เถอะเดี๋ยวเขาก็มาเอง" คำแนะนำจากพี่สาวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เหมือนตัดรำคาญที่เห็นข้าพเจ้าพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนไม่หยุดหย่อน แต่การอยู่เฉย ๆ รอเขามาเอง กลับไม่มีบันทึกอยู่ในสารบบความนึกคิดของข้าพเจ้า บร้า... อยู่เฉย ๆ แล้วเขาจะมาเองได้ไง มาให้นั่งรอโอกาสดี ๆ เข้ามาแล้วค่อยไขว่คว้า สู้เราสร้างโอกาสขึ้นมาเองไม่ดีกว่าเหรอ?
         อาจด้วยความที่เป็นผู้ชายอกสามศอกครึ่งด้วยกระมังครับ จึงเห็นว่า การนั่งรอลมเพลมพัดสักวันจักมีสาว ๆ เข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้หล่อเหมือนโดม ปกรณ์ ลัม คือเคน ธีรเดช นี่หว่า ไม่ออกไปจีบแล้วเมื่อไหร่จักมีแฟน ทั้งที่การจีบหญิงสำหรับเด็กชายที่เรียนโรงเรียนชายล้วนมาตลอด ๑๒ ปี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยข้าพเจ้าก็เหมือนคนโสดทั่วไปที่รังเกียจฤดูเทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจักเป็นวันวาเลนไทน์ วันคริสตมาส วันกีฬาสี วันปีใหม่ บลา ๆ ๆ ที่เขาไปกันเป็นคู่ ๆ กระทั่งโรงหนังหรือสวนสนุก เห็นเขาเดินจับมือกันแล้วก็เสียวแปล็บในใจ ไหงเราต้องมาดูหนังกับเพื่อนผู้ชายฟระ? เมื่อไหร่ฉ๊านจะมีแฟนซะที อี อี อี....? ถึงวันนี้ยังระลึกถึงความรู้สึกวันนั้นได้อย่างชัดเจน
      คราวหนึ่งถูกเพื่อนรักทิ้งกลางเวหา คาสะพานลอยมาบุญครอง เพียงเพราะปะเจอหญิงที่หมายปองแบบไม่ได้ตั้งใจ "เอาเหอะ... กรูเข้าใจ ๆ ว่าหญิงในดวงใจหน่ะมันหายากยิ่งกว่าเข็นเข็มขึ้นภูเขา ยิ่งกว่างมครกในมหาสมุทร เป็นกรู... ก็คงทำเหมือนมรึงนี่แหละ" คงพอนึกภาพความยากเย็นในการหาแฟนสมัยนั้นออกใช่ไหม?
ผลงานจากความพยายามอย่างยิ่งยวดย่างเข้าปีที่ ๒๒ ก็ยังคงกิน "แห้ว" อยู่อย่างสม่ำเสมอ
ทุกอย่างที่เห็นคนอื่นทำแล้วเท่ สาวแอบปลื้ม นี่ลงทุนทำทุกอย่าง ไปเรียนกีต้าร์เอาไว้โชว์หญิงก็ทำมาแล้ว (ภายหลังพบว่า เป็นความคิดที่โง่บัดซบ เพราะกว่าพวกเธอจะปลื้มนี่ ต้องสามารถเล่นกีตาร์ได้โดยไม่ต้องดูคอร์ด เป็นร้อยเพลง แถมเธอปลื้มแล้ว จะเอาเป็นแฟนหรือเปล่า นี่ยังต้องขอคิดดูก่อน การเล่นกีต้าร์เป็นมิได้อยู่ในตัวเลือกของเธอทั้งหลายเลย)
          "แล้วเธอ... ก็เข้ามา เปลี่ยนหัวใจ ที่เคยอ่อนล้าให้มีหวัง..." เพลงของบอยด์ โกสิยพงษ์ แว่วขึ้นมาในห้วงความคิดความรู้สึกมันประมาณนั้นจริง ๆ ท่ามกลางความปั่นป่วนเชี่ยวกรากของการเรียนอย่างหนักหน่วง เพื่อให้จบทันเพื่อน ๆ หรืออย่างน้อยจบทันรุ่นน้องรุ่นถัดไปก็ยังดี (มัวไปโต๋เต๋เรียนแม่ม ๓ คณะก็งี้แหละ) รุ่นน้องห่างกัน ๓ ปีคนหนึ่งหน้าตาพริ้มเพราก็เข้ามาในชีวิต...ถ้าจำไม่ผิด มีแฟนคนแรกตอนอายุ ๒๒ ครับ น้อง ๆ ที่อายุยังไม่ถึง ๒๒ ยังไม่ต้องรีบร้อนครับ ยังมีเวลาอีกเยอะตอนนั้นก็งง ๆ เอ๋อ ๆ เอ๊ะ... เธอมายังไง? มาถึงวันนี้ชัดแล้วครับ "บุพเพอาละวาด" แน่นอน
       ไม่ใช่แค่น้องเขาแอบปลื้มเราก่อน แต่มีเพื่อน ๆ ช่วยกันเชียร์ ทั้งเพื่อนเราเพื่อนเขา คอยยุแยงตะแคงเสริมกันยกใหญ่ถ้าเราไม่ใช่จอมนักวางแผน บทจักได้มีแฟน มันต้องลงตัวด้วยเหตุมากกว่าหนึ่งแน่นอนครับ ทุกอย่างถูกจัดสรรอย่างดีเยี่ยม เราแทบไม่ต้องออกแรงเลย "บุพเพอาละวาด" ทำงานแทนหมดตอนนั้นยังแอบปลื้มไม่หาย มีเพื่อนคนหนึ่งชื่นชมตอนที่น้องเขาเดินผ่านไปว่า "เดี๋ยวนี้ลานXXคณะXXXเปลี่ยนไป" อยากอวดคนทั้งโลกเหลือเกินครับว่า "คนนี้ละแฟนกรู....กรูมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกะเค้าแว้วววว" (ตอนอยู่ในคณะไม่ได้แสดงตัวครับ)แต่แล้วด้วยการยุแยงตะแคงเสริมของเพื่อนเราเองนั่นแล ทำให้ความรักอันบริสุทธิ์งดงามปนเปื้อนมลทิน จนพาให้ความสัมพันธ์มาถึงจุดจบ การแต่งตัวเปรี้ยวของน้องเขามิใช่จักเป็นตัวตนที่แท้จริงอย่างที่เพื่อนเข้าใจ
        อีตอนจบ ก็มิได้มีเหตุแค่หนึ่งอีกเช่นกัน เป็นอีกครั้งที่ทุกอย่างถูกจัดเต็มให้ต้องเลิกราก่อนหน้านั้นก็มีเหตุให้เกือบมีแฟนหลายรอบแล้ว แต่ด้วยความเซอะเบอะของเราเอง มารู้ทีหลังว่า เขาก็แอบปลื้มเรา อีตอนที่เขามีไปแฟนแล้ว โถ ๆ ๆ ก็นั่นเป็นดาวชั้นปี ใครจักกล้าไปอาจเอื้อมละครับ ก็แค่โทรไปคุยเล่นทุกวัน แต่การณ์กลายเป็นไม่มีใครกล้าจีบเธอเลย มีเราเข้าวินไปแต่ผู้เดียว!!!...??? (เป็นอุทาหรณ์สอนใจหนุ่ม ๆ นะครับ ผู้หญิงสวยจัด ๆ ไฮโซ ๆ ใช่จักมีคนจีบเยอะ//เธออาจมีออร่าจนผู้ชายไม่กล้าจีบกระมัง)เห็นไหมหล่ะครับ มันยังไม่ถึงเวลา เหตุมันก็มาไม่ครบ จัดสรรไม่ลงตัว นี่ถ้ามีเพื่อนเขาสักคนหนึ่งมาแอบกระซิบให้ "ควายเรียกพี่" อย่างข้าพเจ้ารู้สักนิด ป่านฉะนี้ มิต้องรอมาจน ๒๒ หนาวดอก มีแควนควงโต้ลมหนาวไปนานแล้วคนถัดมานี่เจอกันที่ทำงาน แปลกแต่จริง เธอข้ามน้ำโพ้นทะเลมาตั้งไกล เพื่อมาจุ้มปุ๊กอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทำงานด้วยกัน เป็นแฟนกันท่ามกลางเสียงคัดค้านอึงมี่ระงมออฟฟิส แต่ก็ฝ่าฟันมาด้วยกันได้จนครบ ๔ ปี
       เลิกร้างกันไปก็ด้วยความบ้าของเราอีกนั่นแหละเจ็บคราวนั้นสร้างบาดแผลเป็นรอยลึก ยากจักเยียวยา ต้องหยุดพักรักษาแผลใจไปนานเลยคนสุดท้ายนี่บุพเพอาละวาดแท้ ๆ แน่นอน เราอยู่เฉย ๆ ของเราแท้ ๆ บุกมาถึงออฟฟิสทีเดียว...อย่างกับละครหนังไทย ตอนแรกคุยกันไม่เห็นหน้าก็ยียวนกวนประสาท แต่แล้วพลังแห่งบุพเพอาละวาดก็พาให้มาพบหน้า และแอบชอบกันและกันตั้งแต่แรกพบ
"อยู่เฉย ๆ เถอะเดี๋ยวเขาก็มาเอง" รู้สึกถึงความเป็นจริงเป็นจังของคำแนะนำจากพี่สาวขึ้นมา ณ บัดเดี๋ยวนั้น..
ปล. ปัจจุบันเบรื่อแล้วค่ะ มาเองก็ไม่เอา 5555+
 
 เคดิด จากเพื่อนร่วมก่วนส่งมา




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons