ประเภทสังฆสถาน
สังฆสถาน คือ สิ่งที่ก่อสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานที่สำหรับอยู่ของพระภิกษุและเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์โดยตรง จึงเป็นอาคารสถานที่แยกต่างหากออกไปจากสิ่งก่อสร้างประเภทพุทธสถาน สิ่งก่อสร้างประเภทนี้ เช่น กุฎิ หอฉัน หอกลอง เป็นต้น(วันดี)
แต่เมื่อเรียกโดยภาพรวมแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่า “วัด” วัดเป็นสถานที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรมแก่สังคมอย่างมากเพราะเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมประเพณีและศูนย์กลางอื่น ๆ
วัดเป็นสถานบันที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา เพราะการดำเนินชีวิตของคนไทยนั้นผูกพันอยู่วัดมาตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แม้ในทางวัฒนธรรมประเพณีวัดก็มีส่วนสำคัญ ด้วยเหตุที่วัดเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญของโลกและถือว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนาและเป็นศูนย์รวมจิตของชาวพุทธ ในขณะเดียวกับพระสงฆ์ก็เป็นที่รวมศรัทธาของชุมชนด้วย
ดังนั้น วัดจึงกลายเป็นศาสนสถานที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น พุทธศาสนิกชนต้องไปปฏิบัติกิจที่วัด หรือวัดก็เอื้อโอกาสแก่สังคมในการประกอบกิจที่เป็นประโยชน์ซึ่งนับว่าวัดเป็นสถานบันที่เป็นประโยชน์แก่สังคมเป็นอย่างมาก แม้ในปัจจุบันนี้สังคมเปลี่ยนไป จึงทำให้บทบาทของทางวัดเปลี่ยนไปด้วย อย่างไรก็ตามวัดก็ยังเป็นที่รวมศรัทธาของท่านพุทธศาสนิกชนในชนบทอยู่เพราะเป็นที่พึ่งทางใจของชาวพุทธ
บทเพลงลูกทุ่งมีกล่าวถึงวัดมากมาย จากการวิจัยพบว่า วัดเป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเพลงลูกทุ่งทั้งเนื้อหาสาระ ทั้งตัวผู้ร้อง เพราะในการแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ส่วนมากก็อาศัยสถานที่วัดทำการแสดง ไม่ว่าจะเป็นงานประจำปี งานปิดทอง, งานฝังลูกลิมิต, งานบุญกุศลทั่วไป เป็นต้น ฉะนั้นเนื้อหาสาระจึงเกี่ยวพันอยู่กับศาสนสถาน รวมถึงการแสดงออกของครูเพลงลูกทุ่งก็แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาอย่างชัดเจน
ในสมัยพุทธกาลระยะเริ่มแรกนั้น พระสงฆ์ยังไม่มีที่อยู่อาศัยประจำ ได้จาริกไปเพื่อเผยแผ่หลักธรรมทางศาสนาให้กว้างขวางออกไปเพื่อเป็นการยังประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มากตามที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ ดังปรากฎในพระไตรปิฎกว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย”(วินย.)
จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาเน้นหนักในการที่จะให้พระภิกษุออกประกาศสัจธรรมเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก แต่การสัญจรหรือจาริกของพระภิกษุนั้นจำเป็นจะต้องมีที่อยู่อาศัยเพื่อจะได้จำพรรษา เพื่อเป้าหมายคือการอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุคุณธรรมชั้นสูง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับประโยชน์ตามความเหมาะสม คือนำหลักธรรมที่ตนได้เรียนรู้และปฏิบัติมาเผยแผ่ เพื่อให้หมู่ชนได้นำปรับใช้ตามความต้องการ ดังนั้นการอยู่อาศัยในวัดของพระสงฆ์จึงเป็นเพียงความหมายรอง ความหมายหลักของวัดจึงหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์พักอาศัย เพื่อจะทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์และเหมาะสม(พระราชวรมุนี)
ไอ้หนุ่มบ้านนา เช้ามาก็ไถนา อยู่ท้องนาจะขาย
ข้าวปลา วิวาห์กับสาวไพร ไม่ได้ข้าวปลา ขายนาจะเป็นไร
มั่นในทรวงใน เจ้าทรามวัย ขวัญใจบ้านนา”
(ไอ้หนุ่มบ้านนา : ไพโรจน์ แก้วมงคล)
ในคราวที่มีงานประเพณี ชาวพุทะจะมารวมตัวกันที่วัด และรำลึกถึงกันอยู่เสมอ ดังบทเพลงว่า
“งานวัดปีกลาย มีแฟนเคียงกายเดินเที่ยว นิ้วก้อย
เรียว ๆ มีเธอคล้องเกี่ยวก้อยเดิน แต่ปีนี้มันดูเขิน ๆ ไม่มีคู่
เดิน เชิญชมเที่ยวงาน....
เคยเคล้าคลอกัน ชิงช้าสวรรค์ก็มี โถค่ำคืนนี้ไม่มี
เธอนั่งเคียงกาย ปิดทองพระดูใจหาย ๆ ไม่มีเพื่อนชาย
เหมือนปีกลาย มาร่วมปิดทอง”
(คืนนี้เมื่อปีกลาย : ขับร้องโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์)
“...งานวัดเรามีทุกปี ปิดทองพระร่วมกับพี่
แล้วปีนี้ต้อง...จาบัลย์ เสียงเพลงเครื่องไฟ บาดหัวใจ
เหลือรำพัน เห็นใครเขาต่างมีสุขกัน แต่เรานั้นต้องหมองไหม้
เสียงรถเสียงเรือแล่นผ่านบ้านน้อง จับตาจ้องมอง
ว่าพี่ของน้องมาหรือไม่ แต่แล้วใจหายไม่มีพี่ดั่งตั้งใจ
หลงเมืองหลวงไม่เคยห่วงใย พี่รู้บ้างไหมน้องคิดถึงพี่...”
ในบางท้องที่ มีการจัดงานประจำปี เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบนมัสการองค์พระที่ชาวบ้านนับถือและจัดให้มีงานฉลอง อย่างเช่นบทเพลงว่า
“...เทศกาลวันฉลองใหญ่โต แห่งวัดบางนมโค
ฉลองใหญ่โตโชว์การแสดง จะพาโฉมฉายพ่อตาแม่ยาย
เที่ยวไปทุกแห่ง แต่พี่ยังหวาดระแวงหนุ่มใกล้จะแย่ง
แซงรักพี่ไป...”
(มนต์รักเสนา : ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
ลักษณะของวัดที่ดีและเหมาะสมนั้น ปรากฎอยู่ในพระราชดำรำของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งทรงหาสถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสมที่จะให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์นั้น โดยได้แสดงถึงลักษณะของวัดที่ดี ดังปรากฎในพระไตรปิฎก ดังนี้
“พระผู้พระภาคพึงประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ซึ่งจะ
เป็นสถานที่ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านนักสะดวกด้วยการคมนาคม
ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะเข้าไปเฝ้าได้ กลางวัน
ไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงัดเสียงไม่กึกก้อง ปราศจาก
ลมแต่ชนที่เดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้อง
การที่สงัด และควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย”(วินย.)
บทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงศาสนาสถานที่เกี่ยวกับวัดไว้ก็มี แต่เป็นรูปแบบของการชักชวนคนให้มาทำบุญสร้างวัด เพราะถือว่าวัดนั้นคือศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ ทุกหมู่บ้านจะต้องมีวัดไว้สำหรับชาวพุทธได้มีโอกาสได้ทำบุญ และเมื่อถึงคราวัดวาอารามทรุดโทรมชาวพุทธที่ช่วยกันทำนุบำรุงดังบทเพลงว่า
“...มิ่งขวัญอันที่ตรึงจิตใจ ว่าเป็นหลักชัย
องปวงประชา ทุกย่านหมู่บ้านทุกบางเมืองไทย ต้องมีวัดไว้
เป็นศรีสง่า ทุกผู้รูกันว่าวัดดีนักเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา
แต่น้องพี่เอ่ยจงเงยหน้าเบิ่ง วัดเราเปิดเปิงโย้เย้ไปมา จะพัง
มิพังแหล่ข่อยแลแล้วเศร้า เป็นเพราะพวกเราไม่ช่วยรักษา
บัดนี้ฤกษ์ดีวัดนี้จะซ่อม หมู่เฮาจงพร้อมช่วยซ่อม
วัดวา ผู้ใดรวยเงินขอเชิญบริจาค ทำน้อยทำมากบ่ขัดศรัทธา
หรือจะถวายไม้กระดานหน้าต่างสักบานก็เชิญท่านมา.....”
(บริจาคเงินซ่อมวัด : ไวพจน์ เพชรสุวรรณ)
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้สนใจบวชในพระพุทธศาสนาและศึกษาพระธรรมวินัยนั้นมากขึ้น เมื่อบวชแล้วผู้ที่มีความเลื่อมใสก็จะบวชเรียนต่อไป ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์จะบวชอีกต่อไป เมื่อลาสิกขาคือสึกออกมาที่สามารถเข้ารับราชการได้ จะเห็นได้จากในตอนปลายกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงกวดขันการศึกษาทางพระพุทธศาสนา บุตรหลานข้าราชการคนใดที่จะถวายตัวทำราชการ ถ้ายังไม่ได้อุปสมบทก็ไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นราชการ
ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญข้อหนึ่งในการอุปสมบทก็คือ”บวชเพื่อเรียน” หรือพูดกันติดปากว่า “บวชเรียน” นั่นเอง(วิลาสวงศ์) ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าวัดนั้นก็เป็นที่ศึกษาเหมือนกัน ตามปกติพุทธศาสนิกชนชาวไทยแต่โบราณได้ให้ความสำคัญแก่วัดและพระสงฆ์ว่า เป็นแหล่งการศึกษาที่ดี ดังจะเห็นได้ว่าสมัยก่อน พระสงฆ์เป็นผู้มีความรู้แตกฉานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทางโลกและทางธรรม (พระมหาสำเนียง)
กุลบุตรไทยส่วนมากที่จะบวชมักจะเป็นชายโสด และอยู่ในวัยหนุ่ม ก่อนบวชก็มักจะมีคู่รักที่ชาวชนบทรักเรียกว่าเป็นแฟนกัน หมายถึงยังไม่ได้แต่งงานกัน พอจะเข้าบวชในพระพุทธศาสนาก็ต้องมีการร่ำลา เพื่อที่จะเช้าบวชเรียนในพุทธศาสนา สิ่งหนึ่งที่หนุ่มจะย้ำอยู่เสมอก็คือการบวชเรียน เพื่อฝึกตนให้เป็นคนดี พอสึกออกมาจะได้เป็นคนดี เพื่อชีวิตคู่จึงต้องขอร้องให้แฟนสาวรอคอย ดังบทเพลงว่า
“ขอลาเจ้าไปบวชเรียน น้องจงช่วยอุ้มเทียนแห่ไปวัดที
น้องพี่โปรดจงเห็นใจ ฝันใฝ่อยู่ไม่เว้นวัน รักกันมาแรมปี
อย่างนี้มีใจตรงกัน นึกถึงวันร่วมทางสร้างกุศล ขอหน้ามน
เมตตามาช่วยงาน มองตั้งนานไม่เห็นมีน้องเอยน้องพี่ไม่มา
ขอลาเจ้าไปบวชเรียน หรือใจวนเวียนเจ้าถึงลืมสัญญา
เห็นหน้าเจ้าสักนิดยังดี น้องพี่ถ้าจะหลงลืมกัน บวชแทน
พระคุณมารดาไม่ช้ารอคืนรอวันเห็นใจกันฝากคำจำได้ไหม
ขอลาไปสร้างบุญเกื้อหนุนที่เรานั้นมีสัมพันธ์กันมา หวังใจ
ไว้ว่าคงคอย....”
“...หอมหนึ่งครั้งเพื่อตั้งใจบวชไปให้กับแม่ขอหอมเบา ๆ
เอิง เอิ้ง เอย แก้มศรีแพรขอจูบฝากไว้ด้วยใจแน่ พี่รักแท้
มั่นคง บวชเป็นสงฆ์จงรอคอย บวชเรียนสึกแล้ว จะมาวิวาห์
กับน้องคนดี ไม่ถึงปีโปรดคอยหน่อย...”
(จูบก่อนบวช : ขับร้องโดย คัมภีร์ แสงทอง)
สมัยก่อนนั้น ไม่มีโรงพยาบาล เมื่อชาวบ้านเจ็บไข้ก็จะพามาให้พระรักษาพยาบาล พระก็จะรักษาพยาบาลไปตามภูมิความรู้ของตนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาด้วยยาสมุนไพร แม้บางครั้งคนที่มาหาจะมีความทุกข์ใจ แต่พอจะปรึกษาธรรมะหรือพูดคุยกับพระในวัดแล้วก็สามารถบรรเทาลงได้ ฉะนั้น เปรียบเหมือนวัดเป็นสถานพยาบาล ดังเพลงลูกทุ่งว่า
“..วัดนี้หรือคือถิ่นทรัพย์ สร้างคนดิบเป็นคนดี คนเกิดมา
โรคามีต้องหาหมอเพื่อขอยา เปรียบว่าวัดเป็นสถานพยาบาล
สุขศาลาคนทุกข์ใจให้เข้ามา เอาศาสนารักษาใจ....”
(เชิญทำบุญสร้างวัด : ไวพจน์ เพชรสุวรรณ)
เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ความจริงดังกล่าวนี้ย่อมปรากฎทั้งในประวัติศาสตร์พระราชพงศาวดาร ทั้งจากหลักฐานทางโบราณคดี โดยมิต้องสงสัย พระราชภารกิจส่วนใหญ่ของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ต่างก็ทรงมุ่งมั่นต่อความ ดำรงสถิตมั่นแห่งพระบวรพุทธศาสนา สมดังพระราชอธิษฐานสัจจปฏิญาณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยกยกพระพุทธศาสนา” ไปพร้อม ๆ กับพระราชกิจที่จะ “ป้องกันขอบขัณฑสีมารักษาประชาชนและมนตรี” ซึ่งความจริงข้อนี้ แม้ชาวตะวันตกก็ยอมรับ ให้สมญานามประเทศไทยว่า “ดินแดนแห่งกาสาวพัสตร์(Land of the Yellow Robes)”(ประสิทธิ์)
ความภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย มีรสนิยมแบบไทย ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์รวมไปถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่พ่อแม่เชื่อถือมาก็ปฏิบัติตาม เรียกว่าเป็นคนชาตินิยม ดังบทเพลงว่า
“..น้องเกิดเมืองไทย น้องก็รักเมืองไทย ของกินของใช้
ก็ชอบไทยไทยทั้งนั้น เสื้อผ้าสวมใส่ก็ชอบไทย ๆ เหมือนกัน
ของหวานของมันฉันก็ชอบไทย ๆ
น้องเกิดเมืองไทย พ่อแม่ก็ไทยเช่นกัน จะให้น้องนั้น
นิยมชาติอื่นยังไง จะชั่วจะดีน้องนี้จะรักเมืองไทย ทำบุญวัด
ไทยเมืองไทยจะได้ไม่เงียบเงา...”
(ฉันรักเมืองไทย : ขับร้องโดย พิมพา พรศิริ)
บทเพลงลูกทุ่งมีการกล่าวถึงคนที่ไม่รักชาติ ศาสนาไว้เหมือนกันในทำนองตือนสติแก่คนที่รับเอาวัฒนธรรมของชาวตะวันตกมาใช้ จนลืมวัฒนธรรมเดิมของตนที่มีดีอยู่แล้ว เช่น วัดวาอาราม เป็นต้น ดังบทเพลงว่า
“..สเน็ก ๆ ฟิช ๆ งู ๆ ปลา ๆ ฟังเพลงไทยแล้วส่ายหน้า
ฉันฟังเพลงไทย ทีเพลงฝรั่งฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร
นิยมว่าดีว่าเด่น อวดเป็นลืมของไทย
สังคมชนบทนั้น เป็นสังคมที่ไม่ค่อยมีการแบ่งชั้นวรรณะมากเท่ากับสังคมในเมือง การสนุกสนานรื่นเริงแต่ละครั้งก็มักจะใช้สถานที่วัดเป็นศูนย์รวม เพราะทุกคนคิดว่า วัดนั้นคือวัดของเราทุกคน ทำให้บ้านกับวัดมีความแนบแน่นกันมากอย่างยาวนาน จากภาพพจน์นี้สะท้อนให้เห็นว่าวัดนอกจากจะเป็นที่ฟังธรรมแล้ว ก็ยังใช้เป็นที่แสดงพลังสามัคคีด้วย ดังบทเพลงว่า
วัดเป็นที่อยู่ของพรสงฆ์ก็จริง แต่วัดนั้นไม่ได้จำกัดว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะเข้าก็ได้ ในคราวคนมีทุกข์วัดเป็นสถานที่จะรองรับหรือให้คำปรึกษาได้ โดยเฉพาะพระสงฆ์จะต้องเป็นที่พึ่งทางใจแก่พุทธศาสนิกชนได้ในครั้งพุทธกาล สตรีหลายคนที่พบปัญหาชีวิต ต่อมาพอได้พบธรรมของพุทธองค์เกิดความเลื่อมใสแล้วบวชในพระพุทธศาสนาก็หลายรูป จะเห็นได้ว่าการที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาติให้ผู้หญิงบวชนั้นก็เป็นการเปิดทางให้กับผู้หญิงผู้ที่ต้องการแสวงหาความพ้นทุกข์ ดังมีผู้หญิงบางพวกที่มาบวชเพราะต้องการหนีความทุกข์ยากตรากตรำในกิจการงานภายในบ้าน ดังกรณีนางกีสาโคตมี(ขุ.เถรี) เป็นต้น
ทุกครั้งที่มีทุกข์ คนแรกของชาวบ้านที่คิดถึงก็คือพระสงฆ์ที่อยู่ในวัด เพราะสังคมชนบทนั้นมคความเคารถต่อพระสงฆ์ในวัดมาก เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนหัวใจ ก็จะรีบไปปรึกษาพระสงฆ์ในวัดทันที บางคนถึงกับขนาดเข้าวัดตักบาตรทำบุญทุกวัน ที่สุดถึงกับบวชมอบกายถวายอกในพระพุทธศาสนาเลยก็มี ดังบทเพลงว่า
เสนาสนะต่าง ๆ ที่ก่อสร้างภายในเขตวัด เช่น กุฎิ วิหาร โบสถ์ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่ได้มากผู้ที่มีใจศรัทธาโดยการบริจาคหรือการเรี่ยไรเพื่อสร้างให้เป็นสมบัติพระศาสนาทั้งสิ้น แสดงว่าวัดมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของใครโดยเฉพาะ แม้แต่เจ้าของผู้สร้างถวายก็ไม่ควรยึดถือในกรรมสิทธิ์ เพราะการถวายให้เป็นของสงฆ์ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นของกลางเนื่องจากคำว่า “สงฆ์นั้นหมายถึงหมู่หรือชุมชน(พระราชวรมุนี) วัดจึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ที่จะต้องรักษาร่วมกัน เพราะวัดนั้นเป็นสมบัติส่วนรวม แม้แต่พระสงฆ์ก็หาใช่เป็นเจ้าของไม่
สังคมไทยชนบทนั้นเชื่อว่า “วัดช่วยบ้าน บ้านช่วยวัด” จึงจะสัมพันธ์กันและทำให้คนดีได้ เพราะต่างช่วยกัน ในวัดหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยศาลา กุฎิ โบสถ์ วิหาร กำแพงแก้ว ห้องน้ำ และสิ่งสำคัญก็คือต้องมีพระอธิการ หรือเจ้าอาวาสคอยปลูกศรัทธาญาติโยม พร้อมทั้งคอยอบรมพระเณรภายในวัด ข้อสำคัญเจ้าอาวาสจะต้องมีคุณธรรม ๕ ประการ คือ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก
ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ
ไม่ลำเอียงเพราหลง
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว
ไม่สอยของสงฆ์ดุจของส่วนตัว(วิ.นย)
คนไทยมักจะสร้างความคิดเสมอ ๆ ว่าบ้านจะดี เป็นเพราะมีวัดคอยอบรมสั่งสอน ส่วนวัดนั้นเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนาสนิกชนต้องร่วมใจกันทำนุบำรุง เพราะถือว่าเป็นสมบัติของส่วนรวม แม้กระทั่งศาสนสมบัติทุกอย่างภายในวัด และพร้อมกันนี้ก็มักจะฝากความหวังไว้กับเจ้าอาวาสด้วยอันหมายถึงถ้าเจ้าอาวาสมีความสามารถปฏิบัติไม่ขัดครรลอง ไม่เพียงแต่ลูกวัดเชื่อถือ ญาติโยมก็คงจะศรัทธาขึ้นเรื่อย ๆ ดังบทเพลงว่า
จากการศึกษาบทเพลงลูกทุ่งนั้น มีการกล่าวถึงสถานอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ จะสังเกตเห็นได้จากเนื้อหาสาระของบทเพลงเหล่านั้นแม้ว่าจะกล่าวถึงเรื่องของความรักของหนุ่มสาวก็จริงแต่ผลสุดท้ายก็นำเรื่องของศาสนวัตถุเข้ามาอ้างอิง นั่นแสดงให้เห็นว่าแรงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่ลึกอยู่ในจิตใจของครูเพลงอยู่แล้ว จึงได้กลั่นกรองออกมาเป็นร้อยกลองที่ผสมผสานสอดคล้องกับถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาอย่างจงใจ
อีกประการหนึ่ง คนไทยในชนบทนั้นมักใช้เป็นวัดเป็นศูนย์กลางของการพบกัน หรือจัดงานทั่วไป เพราะสะดวกทั้งสถานที่เป็นประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก และเป็นการความรู้ทางศาสนาและบันเทิงควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นการทำบุญที่ควบคู่ไปกับความสนุกสนานซึ่งสามารถฝึกคนให้เป็นคนใจบุญคุณค่าของความสามัคคี จิตใจร่าเริง ไม่คับแคบเพราะการจัดงานต่าง ๆ ที่วัดทำให้ชาวบ้านได้พบปะชุมนุมกันที่วัด ก่อให้เกิดความสามัคคีและเกิดความรู้สึกเป็นชุมชนเดียวกัน และการจัดงานขึ้นอยู่ที่วัดย่อไม่ทำอะไรที่เกินขอบเขตของความดีงาม เนื่องจากถือกันว่าเป็นวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงเกิดความเกรงกลัวต่อบาปกรรม
ฉะนั้น คำสอนของกวีอีสานหลาย ๆ บทเนื้อหาสาระจึงมักกล่าวศาสนวัตถุไว้อย่างชัดเจนและคงเป็นบทกวีอมตะที่กินใจผู้ฟังไปยาวนานตราบที่พระพุทธศาสนายังเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ต่อไป