วรรณกรรมประเภทคำสอนทางอ้อมคือ
๑. วรรณกรรมเรื่องเสียวสวาสดิ์
เรื่องย่อ
ณ เมืองพาราณสี มีกดุมพีสองผัวเมีย มีลูกชายสองคน คนพี่ชื่อศรีเฉลียวคนน้องชื่อเสียวสวาสดิ์ เมื่อเจริญวัยแล้วพ่อแม่แบ่งเรือนให้คนละหลัง และพ่อของศรีเฉลียวและเสียวสวาสดิ์ได้อบรมสั่งสอนลูกของตนด้วยข้อวัตรปฏิบัติและจารีตประเพณีและศีลธรรม เมื่อพ่อแม่ตายแล้วเสียวสวาสดิ์ได้ไปค้าทางเรือสำเภา นายเรือเห็นว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดจึงได้ให้แต่งงานกับนางสีไวลูกสาวคนเล็กของตน
สวนเจ้าเมืองจำปานั้นปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรมเกิดความเดือดร้อนทุกแห่งหน พระองค์เกณฑ์ไพร่พลให้มาเฝ้ารักษาคืนละห้าร้อยคน ทุกคนที่มาเฝ้าถูกเจ้าเมืองฆ่าตายทั้งหมด ต่อมาก็เป็นวันที่เสียวสวาสดิ์ไปเฝ้ารักษาเมืองก็ไม่นอนทั้งคืนนั่งภาวนาคาถาอยู่จนสว่างวันนั้นไม่มีใครถูกฆ่า ทำความแปลใจแก่พระราชาจึงแต่งตั้งให้เสียวสวาสดิ์เป็นอัครเสนาบดี มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเสนาอำมาตย์และไพร่ฟ้าฆ่าแผ่นดินชาวเมืองจำปา ตลอดถึงเจ้าเมืองด้วยให้พากันตั้งอยู่ในศีลธรรม ด้วยอุปนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเสียวสวาสดิ์จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมืองจำปายิ่งนัก เหตุการณ์บ้านเมืองทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียวสวาสดิ์ทั้งสิ้น ทุกข์เข็ญต่างๆก็ไม่มีเมืองจำปาก็เจริญรุ่งเรืองและสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองทั้งนี้เกิดจากเจ้าเมืองเป็นคนมีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยสุจริตยุติธรรม ทำให้ประชาชนมีความขยันหมั่นเพียร เคารพในจารีตประเพณีและกฎหมายบ้านเมือง
ฉบับเดิมเป็นหนังสือใบลานจารึกด้วยอักษรตัวธรรม เป็นอักษรประเภทร้อยแก้วมี ๒๐ ผูก เป็นของวัดมหาวนาราม อ.เมือง จ. อุบลราชธานี ในปี ๒๕๑๐ ดร.ปรีชา พิณทองและขุนพรมประศาสน์รวมกันปริวรรคจากตัวธรรมมาแต่งเป็นคำกลอนอีสาน ไม่ปรากฏว่าผู้แต่งตั้งแต่ต้น สันนิษฐานว่าศรีเฉลียวน่าจะชื่อว่าเฉลียว เสียวสวาสดิ์น่าจะชื่อว่าฉลาด เพราะเสียวสวาสดิ์เป็นคนเฉียบแหลมมีสติปัญญาและไหวพริบดี ถึงกับได้รักตำแหน่งสูงเป็นอัครมหาเสนาเป็นรองและเป็นที่ปรึษาของเจ้าเมืองจำปา การดำเนินเรื่องในหนังสือเสียวสวาสดิ์ เป็นสารคดีพิเศษ ประเภทคำสอนสาธกยกนิทานมาประกอบทั้งทางโลกและทางธรรม มีเหตุมีผลอ่านง่ายฟังง่าย มีร้อยกว่าเรื่อง เหมาะสมกับกาลเทศะ ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมชมชอบของชาวอีสาน
ผู้แต่งนั้นน่าจะเป็นพระภิกษุเพราะได้นำเอาชาดกหลายๆเรื่องตลอดถึงธรรมบทหลายแห่งนำเข้ามาใส่ไว้ในเรื่องนี้ด้วย ให้ตัวละครคือเสียวสวาสดิ์เป็นคนสั่งสอนเจ้าเมืองและประชาชนด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีทั้งที่เป็นปริศนาธรรมต่างๆที่นักปราชญ์ชาวอีสานได้เอาสุภาษิต ผญาภาษิต เข้ามาผสมไว้ด้วยอย่างมากหมาย เพื่อให้ตัวละครเป็นผู้ถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง ให้เห็นความยุติธรรมอยุติธรรมต่างๆ ตลอดถึงความดีความชั่ว ที่ตัวละครนำมาสั่งสอนเจ้าเมืองและประชาชนนั้น เป็นหลักธรรมของพุทธศาสนาทั้งสิ้น กวีผู้ประพันธัมักจะนำคำปริศนาต่างมาครอบหลักการเอาไว้เพื่อให้สมกับวรรณกรรมในเชิงปัญญาอย่างแท้จริง เพราะต้องการให้คนฟังขบคิดตีปรัชญาด้วยตนเองบ้างดังจะนำมาเสนอไว้พอเป็นสังเขป ตามประเด็นดังนี้ คือ
๑.๑) พ่อสั่งสอนเสียวสวาสดิ์ ดังนี้คือ70
๑.๑) สตรีฮ้างสามผัวอย่าสมเสพ ชายใดสิกสามเหล่าแล้วอย่ากลั้วเกี่ยวสหาย
๑.๒) จงให้ฟันเฮือไว้หลายลำแฮท่า จงให้หม่าข้าวไว้หลายมื้อแขกสิโฮมว่าดาย
๑.๓) จงให้เอาแข้วนองาฮักษาเขตเฮือนนั้นบาดห่าเกิดเหตุฮ้ายยังสิได้เพิ่งพา
๑.๔) คันมีคนมาต้านคำไขสำส่ออย่าสิฟ้าวเซื่อแท้คำเว้าแห่งเขา จงให้เอามโนน้อมคลำหาเหตุ คันหากฮู้เลศเลี้วแล้วอย่าไข ความระหัสไว้ในใจสงัดอยู่ อย่าให้ฮู้ฮอดเบื้องหูพุ้นเพื่อนสองลูกเอย
ความหมายคือ
๑.๑) ได้แก่คนเหล่านี้คือ เป็นคนกลับกลอกเจ้ามายาไว้ใจไม่ได้ท่านจึงห้าคบ ถ้าเป็นสตรีก็ไม่อิ่มในกาม สิ่งไม่รู้จักอิ่มคือ เมถุนธรรม การนอน การกิน ไฟไม่อิ่มในเชื่อเพลิงฉันใดสตรีย่อมไม่อิ่มในบุรุษ ดังนั้นท่านจึงไม่ไว้วางใจสตรีที่อย่าร้างมาสามครั้ง ส่วนผู้ชายที่บวชแล้วสึกนั้นเป็นคนไม่หมั่นคงในจิตใจจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
๑.๒) ท่านสอนให้เป็นคนอบอ้อมอารีย์เอื้อเฟื้อเผื้อแผ่แก่ญาติมิตรทั่วไป
๑.๓) ให้เลี้ยงหมู่หมาแมวเพราะเวลาค่ำคืนจะได้เห่าไว้ป้องกันโจรขโมยได้
๑.๔) ไม่ให้เชื่อคนง่ายๆต้องพิจารณาด้วยเหตุผลเสียก่อนและห้ามไม่ให้เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นฟัง และสิ่งควรพูดจึงพูด ไม่ควรพูดก็อย่าพูด
๑.๒) เสียวสวาสดิ์ถามนายสำเภาว่าดังนี้คือ
๑) หาดเฮากลายมานี้มีหินหรือบ่
(หมายถึงแก้วมณีทั้งหลายเช่นวิเชียร แก้วมุกดา)
๒) บ้านหม่อใกล้มีคนเฝ้าอยู่แฝงบ่เด
(บ้านเมืองนี้มีคนรู้จารีตประเพณีและหมอยาและหมอดูทั้งมวลไหม)
๓) ดงดอนนั้น มีต้นไม้ในป่าดกหนานั้นบ่ หรือบ่มีพฤกษาเปล่าแปนเป็นฮ้าง
(บ้านเมืองนี้มีป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์ไหม)
๔) ในเมือนั้นมีกษัตริย์สร้างปกครองตุ้มไพร่นั้นบ่ หรือมีแต่เมืองใหญ่กว้างบ่มีเจ้านั่งปอง(หมายเอามีพระมหากษัตริย์ที่ปกครองด้วยทศพิธราชธรรมมีไหมหรือว่ามีแต่ผู้ไร้ศีลธรรมปกครองบ้านเมือง)
๕) ในหนห้องธานีเมืองใหญ่ วัดที่ก่อสร้างไว้มีพระเจ้าอยู่ในบ่
(หมายเอาในบ้านเมืองนั้นมีพระสถูปเจดีย์ของพระพุทธเจ้าไหมหรือมีมหาเถรผู้ทรงศีลอยู่ไหมและไม้ศรีมหาโพธิ์มีไหม)
๖) ในเมืองนั้นฝูงคนเฒ่าสามขายังมีบ่ หรือหากมีแต่เฒ่าขี้แฮ้งเต็มบ้านทั่วเมือง
(หมายถึงมีคนแก่ถือไม้เท้าเข้าวัดฟังธรรมไหมหรือว่ามีแต่คนเฒ่าที่เข้าบ่อนการพนันหรือมีแต่คนเฒ่ากินเหล้าเมายา
๑.๓) เจ้าเมืองถามเสียวสวาสดิ์ว่าสมบัติคูณเมืองมีอะไรบ้าง
๑) หลักเมือง ได้แก่พระรัตนตรัยแก้ว ๓ ประการเป็นที่พึ่ง
๒) แก่นเมือง ได้แก่พระยาเมืองเจ้าและหมอยา
๓) ใจเมือง ได้แก่กุมาร กุมารี
๔) เกณฑ์เมือง ได้แก่หมอโหร
๕) ฝาเมือง ได้แก่ขุนด่านรักษาเมือง
๖) ตาเมือง ได้แก่ฆ้องกลองและคนเฝ้าประตูทั้งสี่
๗) หูเมือง ได้แก่ประตูเมือง
๘) แข่งเมือง ได้แก่ธนูหน้าไม้ปืนไฟหอกดาบ
๙) ขวัญเมือง ได้แก่ดาวพิดานเมือง(ดาวเมือง)
๑๐) มอดเมือง ได้แก่โจรผู้ร้าย
๑๑) ยอดเมือง ได้แก่พระราชา
๑๒)คูณเมือง ได้แก่แผ่นดินที่ชาวประชาอยู่อาศัยหรือหาดทรายหินทั้งหลาย
๑๓) คำเมือง ได้แก่ช้างม้าวัวควายทั้งหลาย