ผญาอีสานกับปูชนียวัตถุสถาน
ในสมัยพุทธกาลนั้นปรากฎว่า มีแต่บุคคลที่นับถือพระรัตนตรัยคือ นับถือแต่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นหลักพระพุทธศาสนา หามีวัตถุเป็นเจดีย์ คือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการเคารพบูชาในพระพุทธศาสนาไม่ บรรดาเจดีย์ในพระพุทธศาสนา นอกจากพระไตรสรณคมน์แล้ว เป็นของเกิดขึ้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วทั้งนั้น(สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ) และในขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ได้มีพุทธฎีกาแก่เหล่าพุทธสาวกทั้งหลายให้ยึดถือพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์และเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนา ดังปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ว่า “ดูกรอานนท์ธรรมและวินัยที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลายนั้นคือศาสนดาของเธอเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว(ที.ม.)
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาก็คงพอจะทราบเค้าแห่งการเกิดขึ้นของปูชนียวัตถุซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ในประเด็นนี้พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาติไว้เหมือนกัน ในตอนที่พระพุทธศาสนาก็ทรงอนุญาตไว้เหมือนกัน ในตอนที่พระพุทธองค์ทรงประชวรใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์เถระทูลปรารถว่า แต่ก่อนมาเหล่าภิกษุบริษัทได้เคยใกล้ชิดและเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เนื่องนิตย์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว ไม่สามารถเห็นพระองค์อีก คงจะพากันว้าเหว่โศกาอาดูร พระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตที่สังเวชนียสถานไว้ ๔ แห่งสำหรับพุทธสาวกที่ใคร่จะเห็นพระองค์ ก็ให้ไปปลงธรรมสังเวช ณ สถานที่ดังกล่าว คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพานสถานที่ทั้ง ๔ เหล่านี้ จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงระยะเวลาหลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วประมาณ ๓๐๐ ปีแรก หรือตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒-๓ ก็ยัง ไม่พบหลักฐานทางด้านศิลปวัตถุที่ถือว่า เป็นรูปเคารถหรือรูปสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่า พุทธศานิกชนในสมัยนั้น เมื่อระลึกถึงพระศาสดาใคร่เห็นพระพุทธองค์ ต่างก็พากันไปทำพุทธบูชาปลงธรรมสังเวช ณ สังเวชียสถานทั้ง ๔ แห่ง เพื่อให้เกิดพุทธานุสติและยึดเอาวัตถุสิ่งของเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ที่ปรากฎอยู่ ณ สถานที่นั้นเป็นสัญลักษณ์ด้วย เช่น ไม้สาละที่ประสูติ ไม้โพธิบัลลังก์ที่ตรัสรู้ ไม้รังที่ปรินิพพาน เป็นต้น(พัชรินทร์)
พระพุทธศาสนาเมื่อแรกเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้น รูปเคารพต่าง ๆ ยังไม่มี ครั้นเมื่อจำนวนพุทธศาสนิกชนมีมากขึ้น จึงได้มีการนำแบบอย่างการสร้างสิ่งเคารพมาเผยแพร่ เช่น การสร้างพุทธเจดีย์บรรลุพระบรมธาตุ(อันมีพระปฐมเจดีย์เป็นหลักสำคัญ) ธรรมจักรกับรูปกวางซึ่งหมายถึงพุทธประวัติตอนทรงแสดงปฐมเทศนา กระทั่งถึงในยุคอินเดียนิยมสร้างพระพุทธรูปแพร่หลายมากแล้ว ประเทศไทยจึงได้รับแบบอย่างการสร้างพระพุทธรูปตามพระอารามต่าง ๆ กันมากขึ้น ในบทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงพระพุทธรูปที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมายในประเทศไทย
เพลงลูกทุ่งที่กล่าวถึง พระปฐมเจดีย์ในแง่ของคู่บ่าวสาวที่มีความรักแล้วเอ่ยถึงองค์พระปฐมเจดีย์ในคราวที่อยู่ห่างไกลกัน อบค์พระอุทเทสิกเจดีย์ ซึ่งเจดีย์ในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็น ๔ คือ
1. ธาตุเจดีย์ คือที่บรรจุพระบรมธาตุ
2. บริโภคเจดีย์ คือสถูปที่บรรจุทะนานดวง3. พระบรมธาตุ
4. อุทเทสิกเจดีย์ คือพระพุทธปฏิมา
5. ธรรมเจดีย์ คือสถูปที่บรรจุใบลานหรือสิ่ง6. ที่จารึกพระธรรม(คู่มือพุทธประวัติ)
ส่วนพระปฐมเจดีย์ ถือว่าเป็นธาตุเจดีย์ แต่เจดีย์แรกดั้งเดิมนั้นคือธรรมเจดีย์อันหมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่ง
ประเสริฐสุดแต่พอพระองค์เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว คนก็นับถือธาตุเจดีย์เป็นพระบรมสารีริกธาตุ แต่ผู้ที่นับถือพระบรมสารีริกธาตุชั้นต้นนั้นเป็นเพียงอุบาสกอุบาสิกานับถือไม่เกี่ยวกับพระเพราะพระเข้ามาบวชเพื่อเข้าสู่ความหลุดพ้นมุ่งปฏิบัติบูชามากกว่าอมิสบูชา
ระยะแรกไม่มีธาตุเจดีย์เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์จะเห็นได้ชัดในขั้นต้น ภายหลังจึงเข้าสู่วัดและพระ ทีหลังจึงมาอุเทสิกเจดีย์ซึ่งอุทิศถวายพระพุทธเจ้า อะไรก็ได้ที่อุทิศถวายพระพุทธเจ้า เช่น ต้นโพธิ์ ก็เป็นสัญลักษณ์ เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์
เพราะฉะนั้น ในการศึกษาถึงความหมายของปูชนียวัตถุสถานนั้นจึงควรแยกประเด็นให้ถูกต้อง ความมุ่งหมายและความสำคัญของปูชียวัตถุสถาน คือมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมควบคู่กันไป เพื่อจะได้เข้าใจถึงบทเพลงลูกทุ่งที่มีเนื้อหาสาระกล่าวถึงปูชนียวัตถุเหล่านี้ แม้ในความคิดของคนไทยนั้นอาจจะคิดไม่ถึงว่าเพลงเหล่านี้จะมีศาสนสมบัติปรากฎอยู่ในบทเพลง ซึ่งถ้าผู้ที่ไม่สนใจจริง ๆ แล้วย่อมไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวกต่อการค้นคว้า ผู้ศึกษาได้แยกแยะออกเป็นหมวดหมู่ไว้ ๒ ประเภทด้วยกัน คือ
บทเพลง ประเภทเจติยสถาน
บทเพลงซึ่งรายละเอียดนั้น จะได้แยกแยะให้เห็นเป็นลำดับไป ดังนี้
ก. ประเภทเจติยสถาน
เจดียสถาน คือสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้ใช้เพื่อการประกอบกิจกรรมทางด้านสังฆกรรมแต่เพื่อเป็นเจติยสถาน คือ สถานที่มีความสำคัญควรแก่การเคารพหรือเป็นอนุสรณ์สถานที่ควรน้อมระลึกถึง เช่น พระสถูปเจดีย์แบบต่าง ๆ พระพุทธปรางค์ พระมหาธาตุเจดีย์ พระมณฑปที่ประเสริฐฐานรอยพระพุทธบาท เป็นต้น(วันดี)
พระธาตุซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คือ ที่บรรจุพระบรมธาตุ ในตอนต้นมี ๘ แห่ง ตามเมื่อที่ได้รับแบ่งพระบรมธาตุในประเทศไทยนั้นมีอยู่หลายแห่งที่มีความเชื่อถือว่าเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ
บทเพลงลูกทุ่งที่กล่าวถึงพระธาตุนั้นมีอยู่หลายเพลง เพราะคำว่าพระธาตุนั้นมีอยู่หลายจังหวัด อาจจะตั้งชื่อแปลกกันไปบ้าง นั้นคือความเชื่อของท้องถิ่นที่มีความเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว บ้างก็กล่าวถึงครั้งเคยเที่ยวงานพระธาตุ ดังบทเพลงลูกทุ่งว่า
“เย็นลมเหมันต์ผ่านผันยิ่งพาสะท้อนโอ้น้องบังอร
ก่อนนั้นเคยคลอเคียงข้าง ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนม
ยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์ โอ้แม่สาวเรณู..”
(หนาวลมที่เรณู : สุรินทร์ ภาคศิริ)
“จากสกลเมืองหนองหานล่ม จากนครพนม หนี
ไร่หนีมา ทิ้งพระธาตุที่เคยได้บูชา จากอีสานบ้านนา เจ้าลืม
สัญญาเฮาเคยเว้ากัน...”
(หนุ่มนานครพนม : สุมทุม ไผ่ริมบึง)
“น้ำตาหล่นเสียแล้วละคนอีสาน เมื่อสมบัติคู่บ้าน
ของชาวอีสานมาถล่ม สุดเสียดายองค์พระธาตุพนม ก่อนนี้
เคยกราบก้มกลับมาถล่มจมพสุธา
เหตุเกิดวันทีสิบเอ็ดสิบหา เมื่อตอนเวลาเอ้ยตึกสงัด
สายฝนกระหน่ำลมซ้ำสะบัด จนพระเณรต้องตื่นผวาโอ
อะนิจจัง วะตะ สังขารา ฟ้าได้บัญชาอาญาโทษทัณฑ์ คล้ายดัง
สายฟ้า...เอ้ย....คล้ายดังสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ลงมาองค์พระธาตุทันใด....”
(อาลัยพระธาตุพนม : เทพพร เพชรอุบล)
“...สาวอุบลคนทันสมัย อยู่ในเมืองใหญ่ราชธานี
กราบพระธาตุนครพนมดลใจเอวกลมรับรักสักที กาฬสินธุ์
กลิ่นสาวโสภี งานล้ำนารีมหาสารคาม...”
(หนุ่มเหนือแอ่วอีสาน : เทอดไทย ชัยนิยม)
บางครั้งองค์พระปฐมเจดีย์ ก็เป็นที่พึงของหนุ่มสาวผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก โดยการฝากคู่รักไว้กับองค์พระปฐมเจดีย์ แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานของจิตใจนั้นมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และเพลงสะท้อนให้เห็นถึงของมีค่าในถิ่นนั้นด้วย เช่น องค์พระปฐมเจดีย์ ข้าวเปรียบ น้ำตาล พร้อมทั้งเทศกาลงานเขางูออกร้าน บทเพลงลูกทุ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ดังบทเพลงว่า
“ฝากอนงค์ไว้กับองค์ปฐมเจดีย์ ขอให้ช่วย
คุ้มครองน้องพี่อย่าให้มีใครลอบมาชม ย้อนมาคราวหน้า
จะมาหอมแก้วเอวกลม จะหิ้วข้าวเกรียบที่เขานิยม มา
ฝากคนสวยพร้อมพร้อมด้วยน้ำตาล
รถเมล์รับจ้าง ประจำทางสายเพชรบุรี จากองค์ปฐม
เจดีย์ลับตาพาเสียวใจซ่าน ผ่านราชบุรี เห็นมีงานเขางู
ออกร้าน เหลืองเห็นเจ้าข้าวหลามตาหวาน คิดถึงนงคราญ
นครปฐม”
(นิราศรักนครปฐม : ไพบูลย์ บุตรขัน)
บทเพลงลูกทุ่งเอ่ยถึงรอยพระพุทธบาทจำลอง ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักด์สิทธิ์ของชาวไทย ออกพรรษาในแต่ละปีจะมีการตักบาตรดอกไม้ และปิดทองพระพุทธบาทจำลองดังบทเพลงว่า
“....เคยเที่ยวชมน้ำตกสามชั้น นมัสการพระพุทธ
บาทงานปีมีเธอเคียงกายออกพรรษาตักบาตรดอกไม้ สองเรา
ได้ทำบุญร่วมกัน
สระบุรี รักพี่ต้องเสียสละ ใจเธอมาผละจากพี่ไปมี
ใหม่ผูกพัน เหลือเพียงรอยรักสองเราเอาไว้ที่นั่น ผ่านไปใจ
ยิ่งโศกศัลย์ ไม่เจอจอมขวัญสาวเมืองหินกอง....”
(สละรักสระบุรี : ขับร้องโดย สังคม แสงดารา)
อุทเทสิกเจดีย์ คือพระพุทธปฏิมา ซึ่งชนทั้งหลายสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องสักการะระลึกถึงพระพุทธองค์ การสร้างพระพุทธรูปในสมัยแรก เป็นการสร้างเพื่อถือเป็นสรณะถึงพระพุทธเจ้า โดยประดิษฐานไว้ตามพระเจดีย์ ต่อมามีการสร้างโบสถ์สร้างวิหารขึ้น ก็สร้างพระประธานประดิษฐ์ไว้ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของพระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนที่ไปประชุมรวมกันอยู่ในนั้น
ในเรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ได้ให้ข้อคิดว่าการสร้างพระพุทธรูปในสมัยแรกนั้นพวกกรีกเป็นคนสร้างขึ้น หลังจากที่พวกกรีกนับถือพระพุทธแล้ว เมื่อเกิดปัญหาพระยามิลินท์ซึ่งเป็นชาวกรีก พวกชาวกรีกก็เอาแนวคิดที่บุคคลคิดมาทำเป็นพระพุทธรูป ระยะแรกฝ่ายพระถือเป็นเรื่องใหญ่เกือบจะเกิดสังฆเภทที่เอาพระพุทธรูปเข้ามา พอพระพุทธรูปเข้ามาคนโบราณก็เห็นว่าเป็นทั้งคุณและโทษ เป็นคุณคืออาจจะทำให้เกิดศรัทธาปสาทะ ถือว่าเป็นพุทธคุณ ส่วนเป็นโทษคือกลัวจะไปติดวัตถุ ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่าพระพุทธรูปนั้นเป็นภูเขากั้นพุทธธรรม เพราะในสมัยราณนั้นการสร้างพุทธรูปนั้นจึงมุ่งที่ความงามและไม่ได้มุ่งที่ตัวบุคคล อย่างเชื่อว่าพระพุทธชินราชมีชีปะขาวมาสร้างและสร้างไว้ในสถานที่ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เอามาไว้เป็นเด็ดขาด จนสมัยราชกาลที่ ๓ พระองค์ได้มีพระราชปุจฉาถามกันว่าเอาพระพุทธรูปไว้บ้านนั้นผิดหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องต่ำ – สูง โดยถือว่าในบ้านนั้นเป็นที่บริโภคกาม เอาตัวแทนของพระพุทะองค์มาอยู่ย่อมไม่ถูกต้องนัก
คนที่ถือพุทธะมากเท่าใด เข้าใจเนื้อหาสาระมากเท่าใดก็ติดในพระพุทธรูปน้อยเท่านั้น เข้าใจเนื้อหาสาระของพระพุทธศาสนาน้อยเท่าใด ก็ติดในพระพุทธรูปมากเท่านั้นและหนักเข้าก็กลายเป็นวัตถุมงคลและกลายเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ จนกลายเป็นเรื่อยไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง(ส.ศิวรักษ์)
เป็นอย่างไรกก็ตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่น ในแต่ละท้องถิ่นนั้นย่อมไม่เหมือนกัน โดยแต่ละท้องถิ่นนั้นปรากฎนามไม่เหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของท้องถิ่นซึ่งมีศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่เคารถบูชา อนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญ ที่เรียกว่าปูชนียสถาน เพลงลูกทุ่งได้นำมากล่าวในแต่ท้องถิ่นนั้น
จังหวัดพิษณุโลกมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารถบูชาของชาวเมืองเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป คือ “พระพุทธชินราช” ซึ่งมีงานฉลองทุกปีและพระเครื่องที่ขึ้นชื่อของชาวพิษณุโลกก็คือ “พระนางพญา” ซึ่งอยู่ที่วัดนางพญา อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(ลักขณา) ดังบทเพลงว่า
“...มาลัยดอกรักจากสาวสวยนัยนาโศกได้รับที่
พิษณุโลกยังวิโยคครวญหา ที่ยังอาวรณ์ใคร่ย้อนกลับมาอยู่
เยือนพระนางพญาเมื่อเห็นหน้าเจ้าของมาลัย
เคยมาเที่ยวงานออกร้อนทุกปีไม่ขาด ไหว้หลวงพ่อ
พุทธชินราช ชาวพุทะศาสน์เลื่อมใส...”
(มาลัยจากพิษณุโลก : ไพบูลย์ บุตรขัน)
ในแต่ละท้องถิ่น การตั้งชื่อก็ไม่เหมือนกัน และการปฏิบัติก็ทำแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ละภาค พุทธศาสนิกชนย่อมให้ความเคารพสักการะเพราะมีความเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว บางท้องที่ก็นำองค์พระมาแห่ บางท้องที่เมื่อถึงเทศกาลงานประจำปีก็นำลงมาปิดทอง ดังบทเพลงว่า
“..อยุธยาดินแดนที่แสนศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อมงคล
บพิตรศักดิ์สิทธิ์เราเคยเลื่อมใส อีกพระเจดีย์แม่ศรีสุริโยทัย
เรเคยขอพรวอนไหว้ ให้ดวงใจเรารักมั่นคง...”
(ซากรักบึงพระราม : โรม ศรีธรรมราช)
“...เมื่องานเดือนสิบสองน้องเอ๊ย เคยเที่ยวกับพี่
ชักพระทุกที ปีนี้น้องไปอยู่ไหน...”
(ไอ้หนุ่มสวนยาง : ขับร้องโดย สุดรัก อักษรทอง)
“...เคยเที่ยวสุขสันข์ งานวันแห่พระ น้องยังสละขาย
ข้าวขนม แต่แล้วความฝันดังลม นวลน้องคู่ชมหนีหน้าจากจร”
(ไอ้หนุ่มชุมพร : ประจวบ วงศ์วิชา)
แม้นว่าบทเพลงลูกทุ่งจะกล่าวถึงความรักระหว่างหนุ่มสาวอยู่เป็นจำนวนมาก็ตาม แต่ในความรักนั้นก็แฝงด้วยคุณธรรมที่ยึดถือเอาหลักทางพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จะเห็นได้ว่า ในคราวที่พรัดพรากจากรักก็ยังรำลึกถึงองค์พระที่ตนเองนับถือ อ้อนวอนให้เจอคู่รัก ดังบทเพลงว่า
“...บางประกง น้ำคงขึ้น ๆ ลง ๆ ใจอนงค์ก็คงเลอะ
เลือนกะล่อน ปากน้ำเค็ม ไหลขึ้นก็จืดก็จาง ใจน้องนาง
รักนานเลยจางจากจรใจนารีสวยสด คงคดดั่งลำน้ำ พี่ขืน
พายจ้ำคงต้องช้ำแน่นอน ต้องจอดเรือขอลาก่อนแม่กานดา
งามงอน งอนหลวงพ่อโสธร จงดลใจยอดชู้ เจ้าอยู่แห่ง
ไหนอยู่ใกล้หรือไกลสุดกู่ ได้ยินเพลงร้อง น้องจงคืนสุ่ พี่
ยังคอยพธูอยู่ที่บางประกง”
(รักจางที่บางประกง : สดใส ร่มโพธิ์ทอง)
พระพุทธรูปบางอค์ ชาวบ้านสร้างไว้เพื่อที่จะเอาไว้บนบานในเวลามีงานบ้านมักจะเชื่อ จะสังเกตได้จากการบนบาน บวงสรวงแม้กระทั่งหาเงินเพื่อจะไปสู่ขอเจ้าสาว ดังบทเพลงว่า
“.....งานวัดท่าหลวง บวงสรวงพ่อเพชร แล้วงหน้านา
เสร็จลูกใคร่จะไปสู่ขอ ทำนาหาทุน บนบานพึ่งบุญหลวงพ่อ
ขายข้าวในนา เก็บหาเงินพอ จะขอแต่งงานกับน้อง
สาวงามพิจิตร อดีตชาลวน เธอลูกใครกันเล่าจ๊ะ แม่
จันทร์แสงส่องหรือเป็นเชื้อชาติทายาทตะเภาทอง อยากเป็น
ตะเข้ ว่ายเร่คาบน้องพากลับวังทอง เคล้าครองแนบนอน”
(สาวงามเมืองพิจิตร : สดใส ร่มโพธิ์ทอง)
“พรุ่งนี้พี่ต้องจำจากจร ตื่นจากนอนไปตอนไก่โห่
สั่งลาเข้าสู่กรมกองลำยองนั่งร้องไห้โฮ กราบหลวงพ่อ
โตวัดป่าก่อนไปพี่จากลำยอง ไปสองปีจะรอพี่ได้ไหม มีไอ้หนุ่ม
เมียงมองหมายปองกลัวลำยองจะนอกใจ ยามเมื่อพี่จากไกล
ไปเป็นทหารลากลับมาบ้านใจหาย...”
(เสียดาย : ขับร้องโดย ศรเพชร ศรสุพรรณ)