๓.๒.๑ อิทธิพลของหลักคำสอนที่มีต่อบทเพลงลูกทุ่ง
พระพุทธศาสนามุ่งสอนให้คนกระทำความดีเว้นกระทำความชั่วและทำจิตใจให้ผ่องแผ่ว ผู้ใดประกอบกรรมดี กรรมดีย่อมตอบสนอง และผู้ประกอบกรรมชั่ว กรรมชั่วย่อมตอบสนองเช่นกัน ผู้ใดกระทำกรรมไว้ย่อมเกิดผลแห่งการกระทำนั้น(นิพนธ์) ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสถาถวรรค สังยุตตนิกายว่า “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่มีใครหลีกหนีผลกรรมพ้นไปได้ นักปราชญ์ชาวอีสานมีความเชื่อเรื่องกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงพยายามสอดแทรกหลักคติธรรม คำสอนของพระพุทธศาสนาเข้าไปในผญาคำสอนเรื่องต่างๆ เพื่อเป็นการเน้นสอนให้คนเลิกทำชั่วเพราะความชั่วนั้น “บุคคลทำแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีใบหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้ เสวยผลของกรรมอันใดอยู่ กรรมอันนั้นอันบุคคลทำแล้วไม่ดี นั่นคือกรรมชั่ว”(ขุ.ธ.)
คนที่ไม่ทำความดี ก็คือคนชั่ว พรหมวิหารสี่(ที.ม.) เป็นธรรมะของผู้ใหญ่ จำเป็นที่เราจะต้องมีพร้อมในใจทุกคน แม้บางครั้งคนเราตัดสินกันที่คำพูดไม่ได้ว่าใครมีธรรมะหรือไม่มี เพราะบางคนอาจจะไม่แสดงออกก็มีหรืออย่ามุ่งเอาคนอื่นเปรียบเทียบกับตนเอง เพราะความชั่วนั่นใครทำก็ติดตัวคนคนนั้นไปจนวันตาย
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตนเป็นทายาทแห่งกรรมของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง กรรมใดก็ตามที่เขาทำลงไป ดีหรือชั่วก็ตาม เขาย่อมจะเป็นทายาทแห่งกรรมเช่นนั้น(องฺ.ฉกฺก) อิทธิพลของหลักคำสอนเช่นนี้ได้ปรากฏอยู่ในบทเพลงลูกทุ่งหลายเพลง แม้ในบทเพลงเหล่านั้นจะเอ่ยถึงเรื่องความรักก็จริง แต่ก็ไม่ทิ้งหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาบทเพลงที่กล่าวถึงการอกหักของชายหนุ่มที่มีความเชื่อว่าตนเองนั้นใช้กรรมเก่าที่เคยกระทำมาแต่ชาติก่อน
บทเพลงลูกทุ่งหลาย ๆ เพลงที่แสดงถึงสาระของหลักคำสอนแทรกอยู่ในเนื้อเพลงเพราะผู้แต่งเพลงลูกทุ่งได้ถ่ายทอดเอาสภาพแวดล้อมในสังคมที่ตนดำรงชีวิตอยู่ รวมทั้งรู้สึกในใจตลอดจนคติธรรมที่ยอมรับปฏิบัติในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนไทยทั่วไป ด้วยเหตุนี้เพลงลูกทุ่งส่วนหนึ่งจึงมีลักษณะของการแฝงคติธรรมนี้จะมีปรากฎในวรรณคดีไทยเสมอ เพราะกวีหรือผู้แต่ง คนเรามีกรรมวิบาก จึงสนใจกับมนุษย์ในฐานะที่เป็นเบญจขันธ์ประกอบด้วยกิเลสตัณหา กวีเหล่านี้จะสนใจในพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งความสนใจเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติเมื่อผู้แต่งเพลงลูกทุ่งอยู่ในสังคมไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาจึงสนใจพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยใจลักษณะเดียวกับที่กวีสนใจ เนื้อเพลงลูกทุ่งจึงได้แสดงออกในด้านคติธรรมด้วย((ลักขณา) เช่นการเชื่อเรื่องบาปบุญ แม้เรื่องที่เกิดนั้นเป็นเรื่องจึงไม่ได้ทำนาทำไร่ จึงเชื่อว่าเป็นเพราะเวรกรรมที่เคยกระทำมา
อิทธิพลของหลักคำสอนที่มีในบทเพลงลูกทุ่งพอจะจำแนกตามเนื้อหาได้เป็น ๒ แบบ คือ
๓.๑.๑ นำหลักธรรมะในพระพุทธศาสนามากล่าว การนำหลักธรรมะในพระพุทธศาสนามาสั่งสอน
ก.นำนิทานมาเล่าเปรียบเทียบให้เห็นข้อธรรม การนำเอานิทานธรรมะมาผูกเป็นคำกลอนหรือถ้อยคำที่คล้องจองกันแบบธรรมดาพร้อมกับสอดแทรกธรรมะซึ่เป็นหลักคำสอนเข้าไปทำให้บทเพลงมีสาระมากขึ้น เพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ดาวลูกไก่ เพราะเป็นนิทานชาวบ้านที่มองเห็นภาพพจน์ กล่าวถึงความศรัทธาของสองตายายที่อยากจะถวายทานแก่พระธุดงค์ และเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณของแม่ไก่และลูกไก่
พุทธศาสนนิกชนโดยทั่วไปรู้จักเบญจศีลเป็นอย่างดี เนื่องจากบทเพลงมักเป็นเรื่องของความรัก ดังนั้นจะพบว่ามีการกล่าวถึงศีลข้อสามซึ่งห้ามมิให้ประพฤติผิดทางกาม (จินตนา) จับเอาสาระว่าความประพฤติคือการดำเนินชีวิตที่ผิด ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดเบียนคู่ครองของคนอื่นที่เรียกว่าเขารักและหวงแหน ทางพระพุทธศาสนาถือว่าผิดประเพณีทางเพศ ดังบทเพลงที่กล่าวถึงคนที่ไม่มีหิริ ความละอายต่อบาป สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างแม้กระทั่งการเป็นชู้กับคู่รักคนอื่น ในทางคติของคนไทยถือว่าบาปมากที่ประพฤติตัวเช่นนี้
ข. ยกธรรมะขึ้นมากล่าว มักจะกล่าวถึงข้อความที่เป็นธรรมการขยายความในเรื่องของกรรมที่มีปรากฎในพระปรมัตถ์(ปรมัตถะ) แบ่งกุศลและอกุศลไว้อย่างชัดเจนว่าคนที่ทำกุศลให้เกิดก็มีบุญอุปถัมภ์ ส่วนผู้ที่ทำอกุศลไว้มักจะพบแต่ความยากไว้ จะให้เกิดแต่ความทุกข์ เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องสมุทัย(สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์) จึงถูกอวิชชาโอบอ้อมไว้
บทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงข้อปฏิบัติของชาวพุธที่ดีจะต้องรักษาศีล ๕ เป็นอย่างต่ำหรือมากกว่านั้น แต่ในบทเพลงนี้กล่าวเพียงข้อมูลสุราเมรัยฯ ซึ่งเป็นที่เข้าใจข้อนี้เมื่อใครเสพเข้าไปแล้วทำให้หลงสติ และกลายเป็น
บทเพลงลูกทุ่งได้ช่วยย้ำให้ผู้ฟังตระหนักถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาคือเรื่องของไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ขันธ์ ๕ ดังมีพุทธพจน์แสดงไว้ในรูปของกฎธรรมชาติว่า “ตถาคต(พระพุทธเจ้า) ทั้งหลายอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ (หลัก) นั้น ก็ยังคงมีอยู่เป็นธรรมฐิติ” เป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
ตถาคตตรัสรู้เข้าถึงหลักธรรมนั้นแล้ว จึงบอกแสดง วางเป็นหลัก เปิดเผยแจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายกว่า
“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา...”(องฺ.ติก) บทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงความเป็นอนิจจังของโลกที่มีสุข มีทุกข์คลุกเคล้ากันไปเปรียบเหมือนละครโรงใหญ่ที่พานพบกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผลสุดท้ายก็หนีความตายไปไม่พ้น
เนื้อเพลงเช่นนี้เป็นข้อสอนให้ปลงตามหลักพระพุทธศาสนาสอนให้ยึดอยู่กับสิ่งใดในโลกิยะ เป็นการเตือนสติคนรวย และในขณะเดียวกันก็เป็นการปลอบใจคนจนโดยยกเอาความตายเป็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้ของมนุษย์ว่าเศรษฐีหรือยาจก ในบางครั้งก็ยกเอาธรรมะข้อนี้มาผสมผสานกับภาพพจน์ในวรรณกรรมตะวันตกคือโดยการเปรียบ “โลกนี้เหมือนโรงละคร”
๓.๒.๒ แนะแนวจริยธรรม เมื่อพิจารณาตามเนื้อหาของเพลงแล้วเห็นได้ว่าเพลงลูกทุ่งที่แนะแนวจริยธรรมแก่ผู้ฟังธรรมนั้น มิได้มีเจตนาที่จะให้ผู้ฟังปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยสละเรื่องราวทางโลกแต่อย่างใดแต่ต้องการให้ผู้ฟังได้ฟังข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับจริยธรรม เพราะเพลงลูกทุ่ง ในแนวนี้มิได้กล่าวถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่ยกเอาข้อควรปฏิบัติทางจริยธรรมทั่ว ๆ ไปมากล่าวในลักษณะการชักชวน เช่น การชักชวนให้คนฟังเทศน์(ลักขณา)
บทเพลงลูกทุ่งนอกจากจะอธิบายท้องทุ่งนาได้ดีแล้วแรงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่ครูเพลงเชื่อมั่นอยู่แล้วได้หยิบยกเอามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงลูกทุ่งสะท้อนถึงความเชื่อของคนไทยในเรื่องบุญบาป เช่น ในบทเพลงบางเพลงมีการกล่าวถึงการตักบาตร(เทพพร) แสดงให้เห็นว่าแรงอิทธิพลของหลักคำสอนนั้นสามารถโน้มน้าวจิตใจของคนไทย
สังคมที่ยุ่งเหยิงในปัจจุบันนี้ เป็นเพราะมนุษย์เราขาดศีลธรรมกันโดยเฉพาะศีลข้อกาเม จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีปัญหาในสังคมต่าง ๆ เกี่ยวกับการล่วงกรรมข้อกาเมสุมิจฉาจาร ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว คือ
๑) ปัญหาเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา
๒) ปัญหาหลวงลวงไปสาวไปขาย
๓) ปัญหาเรื่องการข่มขื่นแล้วฆ่า(พระมหาไพทูลย์)
๔) การเว้นจากการประพฤติผิดในกาเมนั้น หมายถึงบุคคลใดประพฤติผิดกับคนที่อยู่ในการรักษาของบิดามารดา
พี่ชาย พี่สาว หรือญาติไม่ประพฤติล่วงประเวณีกับหญิงที่แต่งงานแล้ว กับหญิงที่ต้องโทษ หรือแม้ไม่ประพฤติล่วงประเวณีกับหญิงที่เขาหมั้นแล้ว นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ(องฺ.ทสก.) บทเพลงลูกทุ่งไทยได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมไว้เพื่อเป็นกรอบให้อยู่ในประเพณีที่ดีงาม
มนุษย์เราได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐก็ตรงที่มีศีล เป็นเสมือนรั่วกั้นความชั่ว การรักษาศีลเป็นที่รู้จักกันโดยมากกว่า เหมือนเป็นการสร้างรั้วล้อมตนเอง(สมเด็จพระญาณสังวร)
๓.๒.๓ สอนการปฏิบัติตนทั่วไปในสังคม เกี่ยวกับการสอนหลักการปฏิบัติตนในสังคม ซึ่งต้องอาศัยหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ในข้อนี้นั้นอาจแยกออกเป็น ๓ ประเด็น คือ
๑ การปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณ เพลงลูกทุ่งกล่าวถึงการปฏิบัติตนต่อผู้ให้กำเนิด มีการกล่าวถึงพระคุณของผู้ให้กำเนิดโดยเฉพาะมารดา(มารดา)
๒ หลักปรัชญาชาวบ้าน ปรัชญาบ้านคมคายและน่าในสนใจเพราะเป็นการมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างในกว้าง ปรัชญาชาวบ้านไม่ได้มุ่งจะคิดถึงความจริงเหนือโลกซึ่งอยู่ไกลตัวเกินไปและสภาพสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยให้คิดค้นลึกซึ้งเช่นนั้น ปรัชญาชาวบ้านในเพลงลูกทุ่งแสดงให้เราเห็นถึงการดำรงชีวิตของเราอยู่ในตัว(ลักขณา)
พระพุทธศาสนามีคำสอนไม่ให้ถือชั้นวรรณ แต่ให้ถือเอาการประพฤติเป็นสำคัญเป็นเครื่องกำหนดฐานะเป็นประมาณในการกำหนดฐานะเป็นประมาณในการกำหนด คุณค่าบอกสถานะของคน
คนจะดีหรือเลว ตามหลักการของพระพุทธศาสนาอยู่ที่วรรณะชาติ ตระกูลไม่ หากแต่อยู่การประพฤติเป็นสำคัญ ดังพุทธพจน์ว่า
“ดูกรพราหมณ์ เราเรียกคนว่าประเสริฐ เพราะความเป็นผู้เกิดใน
ตระกูลที่สูงก็หาไม่ เราจะเรียกคนว่าประเสริฐเพราะความเป็นผู้เกิด
ตระกูลต่ำก็หาไม่ เราจะเรียกคนว่าต่ำทรามเพราะความเป็นผู้เกิด
วรรณะใหญ่โตก็หาไม่ เราจะเรียกคนว่าประเสริฐเพราะความเป็นผู้เกิด
วรรณะต่ำทรามก็หาไม่ เราจะเรียกคนว่าประเสริฐเพราะความเป็น
ผู้มีโภคะมากมายก็หาไม่ แท้จริงบุคคลบางคนแม้เกิดในตระกูลสูงก็ยัง
เป็นผู้ชอบฆ่าฟัน ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม..เป็นมิจฉาทิฎฐิ”(เอสุการีสูตร)
เพลงลูกทุ่งบรรยายภาพรายละเอียดของชาวนาผู้ทุกข์ยาก แทรกด้วยคำตัดพ้อที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม(จินตนา) เพราะการแบ่งชั้นวรรณะของสังคมไทย
ในทางพระพุทธศาสนาการจะกำหนดว่าใครเป็นใคร มิใช่เพราะพรหมลิขิตแต่เพราะข้อปฏิบัติของบุคคลนั้น ๆ เป็นเครื่องกำหนด ดังข้อว่า
“ดูกรวาเสฎฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัย
โครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นชาวนา มิใช่พราหมณ์ ผู้ใด
เลี้ยงชีพด้วยศีลปะต่าง ๆ ผู้นั้นเป็นศิลปินมิใช่พราหมณ์ ฯลฯ
ผู้ใดปกครองบ้านเมือง ผู้นั้นเป็นราชา มิใช่พราหมณ์
“อันนามและโคตรที่กำหนดตั้งกันไว้นี้เป็นแต่สักว่าโวหารใน
โลก..แต่บุคคลจะเป็นพราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่ จะมิใช่
พราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่ จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์ก็เพราะ
กรรมไม่ใช่พราหมณ์ก็เพราะกรรมเป็นชาวนาก็เพราะกรรม
เป็นราชาก็เพราะกรรม”(วาเสฎฐสูตร)
“วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสียนับว่าเป็นศากยบุตรทั้งสิ้น”(ปหาราทสูตร)
เพลงลูกทุ่งนั้นกล่าวถึงระบบการแบ่งชั้นกันไว้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งเรื่องของความรักก็มักจะเอาปมด้อยของแต่ละฝ่ายออกมาเปลี่ยนเทียบว่าเป็นการ ไม่ควรคู่กับดอกฟ้าเป็นต้น
คนไทยมีความเชื่อถือเรื่องโชคลางมาก ถึงขนาดการตั้งชื่อก็ต้องให้สอดคล้องกับฤกษ์ยามหรือวันเวลาที่เกิดดังกล่าวนี้ มิใช่ว่าจะมีอยู่เพียงเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในยุคก่อนก็มีเรื่องทำนองนี้เหมือนกันดังเช่นคำอันเป็นธรรมภาษิตที่กล่าวไว้ใน “นามสิทธิชาดก”(ขุ.ชา) ว่า มาณพคนหนึ่งชื่อว่า “นายบาป” ได้เห็นชายคนหนึ่งชื่อว่า “นายเป็น” แต่ตายไปเสียแล้ว เห็นหญิงคนหนึ่งชื่อว่านางรวยทรัพย์ แต่กลับมีฐานะยากจนข้นแค้นและได้เห็นชายอีกคนหนึ่งชื่อว่านาย “ทาง” แต่กำลังเดินหลงทางกลับไปกลับมา