เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตาและเป็นคำสอนให้ละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ และสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
สอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด เป็นการสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
สอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย มุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล ให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชาและ สอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่าพระพุทธเจ้าทรงเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย สอนให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
การให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
หลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข
๕.๒ สรุปผญาภาษิตอีสานโดยสังเขป
ด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนามีความเกี่ยวพันกับจิตใจของคนไทยมาเป็นเวลาช้านานจึงเป็นแบบฉบับและเป็นหลักพึงของคนไทย ทั้งเป็นคติความเชื่อที่เป็นประดุจดังประทีปส่องสว่างในการดำเนินชีวิต ดังนั้นการแสดงออกของคนไทยจึงมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาที่มีแทรกอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันและเนื่องจากพุทธศาสนสุภาษิตและสุภาษิตอีสานได้เป็นดังห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่รวมรวมบันทึกถึงเหตุการณ์ของสังคมแต่ละยุคละสมัย ฉะนั้นอิทธิพลของพระพุทธศาสนาจึงปรากฏอยู่ในคำสอนของชนชาวอีสานเป็นจำนวนมากซึ่งอาจแยกเป็น
๑) สรุปหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและแนวคำสอนอีสาน
๒) สรุปแนวความเชื่อที่มีในพุทธศาสนสุภาษิตและสุภาษิตอีสาน
๓) สรุปอิทธิพลของประเพณีในพระพุทธศาสนาที่มีต่อวิถีประเพณีอีสาน
๔) สรุปอิทธิพลของคติคำสอนที่ได้มาจากพระพุทธศาสนสุภาษิตมีต่อสุภาษิตอีสาน
๕) สรุปอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อจริยธรรมของชนชาวอีสาน
๖) สรุปอิทธิพลของพระพุทธศาสนสุภาษิตที่มีต่อลักษณะนิสัยจิตใจของชาวอีสานให้มีนิสัยเยือกเย็น โอบเอมอารี มีเมตตากรุณา เคารพต่อผู้มีพระคุณตามหลักกตัญญูกตเวที มีความขยัน อดทน และสุภาพ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นตนเพราะได้อาศัยพุทธศาสนสุภาษิตกับสุภาษิตอีสานเป็นคติดำเนินชีวิต
๗) สรุปอิทธิพลวรรณกรรมในพระพุทธศาสนาที่มีต่อวรรณกรรมคำสอนอีสานทุกเรื่องล้วนแต่มีแรงผลักดันมาจากพระพุทธศาสนาทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิทานพื้นบ้านเกิดจากชาดกในพระพุทธศาสนา
๘) สรุปอิทธิพลของพระพุทธศาสนามีต่อขนบธรรมเนียมต่างๆ ของชาวอีสานซี่งได้รับการถ่ายทอบสืบๆกันมาจากพระพุทธศาสนาและได้อาศัยหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวปฏิบัติ
ประเทศไทยเป็นประเทศพระพุทธศาสนา คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาหลายพันปี คนไทยอีสานตั้งแต่โบราณได้หันหน้าเข้าหาวัดและใกล้ชิดกับวัด โดยเฉพาะวัดเป็นที่พึ่งแก่ชาวบ้านตลอดมา ดังนั้นจึงเป็นดังแรงที่ส่งผลต่อจิตใจของคนไทยอีสานทุกคนและทุกเพศทุกวัย เพราะคนไทยอีสานมีชีวิตแนบสนิทกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามากเช่นนี้เอง จึงทำให้พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมชาวอีสานมากมาย และรวมไปถึงสุภาษิตอีสานที่เป็นคำสอนแขนงหนึ่งของชาวอีสานที่ได้พัฒนามาจากพระพุทธศาสนาแล้ววิวัฒนามาเป็นผญาภาษิตแบบฉบับของชาวไทยอีสานเอง พระพุทธศาสนสุภาษิตก็ทรงอิทธิพลต่อสุภาษิตอีสานเช่นเดียวกัน
๕.๑.๑ หลักบาปกรรม
พระพุทธศานามีจุดมุ่งหมายสั่งสอนให้คนกระทำความดีเว้นการกระทำความชั่วและชำละจิตใจให้สะอาดผ่องใส่ ผู้ใดประกอบแต่ความดี กรรมดีย่อมตอบสนอง และในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าบุคคลใดกระทำแต่กรรมชั่ว กรรมชั่วย่อมตอบสนองเช่นเดียวกัน ผู้ใดกระทำกรรมอย่างใดไว้ผลกรรมย่อมส่องผลให้ได้รับความทุกข์ กรรมเป็นส่วนหนึ่งแห่งกระบวนการของวัฏฏะ คือ กิเลส กรรม วิบาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรรมที่มีผลเริ่มจากมีกิเลสที่เป็นต้นเหตุให้สร้างกรรม จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับผลของกรรม ดังพระพุทธภาษิตว่า “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว”๑ ไม่มีใครหลีกหนีผลกรรมนั้นพ้นไปได้ หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเข้าไปสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของสุภาษิตอีสาน เพื่อมุ่งสอนให้คนเลิกกระทำกรรมชั่ว เพราะความชั่วนั้น “บุคคลทำแล้วย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าอันชุ่มด้วยน้ำตา ร้องให้ เสวยผลของกรรมอันใดอยู่ กรรมอันนั้นอันบุคคลทำแล้วไม่ดี นั้นคือกรรมชั่ว”๒ คำสอนของชาวอีสานก็มุ่งเน้นให้คนได้ระมัดระวังในการกระทำกรรมเช่นเดียวกัน เพราะถ้าบาปกรรมมาถึงแล้วย่อมไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้กรรมนั้นส่งผลได้ ดังสุภาษิตว่า
บ่มีใผหนีได้เวรังหากเทียมอยู่ เวรมาฮอดแล้วซิไปเว้นได้ทีใด
บ่มีใผเถียงใด้เวรังหากเป็นใหญ่ เวรตายวายเกิดขึ้นหนี้เว้นหลีกบ่เป็น๓
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องกรรมว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง เป็นทายาทแห่งกรรมขนตนเอง มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง กรรมใดก็ตามที่ทำลงไปดีหรือชั่ว เขาย่อมจะเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น๔ อิทธิพลของพระพุทธศาสนสุภาษิตเช่นนี้ได้ปรากฏอยู่ในหลักคำสอนอีสานเช่นกันคือสุภาษิตคำสอนอีสานนั้นสอนให้รู้ว่าบุญหรือบาปกรรมนั้นส่งผลทุกย้างก้าวเปรียบเสมือนเงาที่ติดตามตัวของบุคคลไปทุกย้างก้าวจะนั่งหรือนอนกรรมนั้นย่อมติดตามให้ผลเสมอ ดังคำสอนว่า
บุญบาปนี้เป็นคู่คือเงาฮั่นแล้ว เงาหากไปนำเฮาคู่วันบ่อมีเว้น
คันว่าเฮาพาเล่นพามันเต้นแหล่น พามันแอะแอ่นฟ้อนเงาซ้ำกะแอ่นนำ
คันเฮานั่งหย่องย่อเงานั้นก็นั่งลงนำ ยามเฮาเอนหลังนอนกะอ่อนลงนอนนำ
คันเฮาโตนลงห้วยภูซันหลายหลั่น หรือว่าขึ้นต้นไม้ผาล้านดั่นเขา
เงากะติดตามเกี้ยวแกะเกี่ยวพันธะนัง บ่อห่อนมียามเหินห่างไกลกันได้
อันนี้ฉันใดแท้ทั้งสองบุญบาป มันหากติดตามก้นนำผู้ทำกรรมนั้น๕
สุภาษิตอีสานหลายๆเรื่องที่แสดงถึงสาระของหลักคำสอนแทรกอยู่ในบทประพันธ์เพราะกวีผู้แต่งสุภาษิตอีสานได้ถ่ายทอดเอาสภาพแวดล้อมในสังคมที่ตนดำรงชีวิตอยู่ รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมตลอดถึงคติธรรมที่ยอมรับปฏิบัติกันในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของชนชาวไทยอีสานทั่วไป ด้วยเหตุนี้เองสุภาษิตอีสานจึงมีลักษณะของคำสอนที่มีการแฝงเอาธรรมะในพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสุภาษิตอีสาน “ ซาติที่สงสารซ้งกงเกวียนกลมฮอบ บาดเถื่อเวรมาฮอดเจ้าสิวอนไหว้ใส่ผู้ใด”(26/ภาษิต) เป็นคำสอนที่มุ่งสอนให้เข้าใจในเรื่องของกรรมนั้นส่องผลในลักษณะเป็นวัฏฏะ คือสามารถส่งผลไปสู่อนาคตได้ด้วยดังมีพระพุทธภาษิตว่า
“ ธัญชาติ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือสิ่งของที่ห่วงแหนอย่างใดอย่าง
หนึ่งที่มีอยู่ ทาสกรรมกร คนงาน คนอาศัย พึงพาเอาไปไม่ได้ทั้ง
สิ้นจะต้องถูกทิ้งไว้ทั้งหมด… แต่บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วย
วาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละเป็นของเข้า และเขาย่อมพาเอา
กรรมนั้นไป อนึ่ง กรรมนั้นย่อมติดตามเขาไปเหมือนเงาติดตามตน
ฉะนั้น… ฉะนั้น บุคคลควรทำความดี สั่งสมสิ่งที่จะเป็นประโยชน์
ภายหน้าความดีทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ในปรโลก สํ.ส. 15/392/134“
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมซึ่งแนวคำสอนเรื่องกรรมนี้เป็นลักษณะของกรรมชรูป คือรูปที่เกิดมาจากกรรมส่งผลให้จะเป็นคนหรือสัตว์ ได้ร่างกายมาเป็นตัวตนเพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้ ซึ่งมนุษย์แต่งเอาเองไม่ได้ถึงพ่อแม่จะมีส่วนในการแต่งก็ตามแต่ก็ไม่สามารถจัดการให้สวยงามไม่ได้ เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นเช่นเรือน ถ้าผู้มาเกิดคือเจ้าของเรือน สวยแล้วแต่เรือนเกิดไม่เป็นปัญหา ดังนั้นพระพุทธศาสนจึงสอนให้ทำกรรมดี เพื่อจะได้มีความสุข และเมื่อตายไปแล้วหากมาเกิดอีกก็จะได้เกิดมาเป็นคนดี ซึ่งบุญกรรมเป็นผู้ส่งผลข้ามภพข้ามชาติให้บุคคลทั้งหลายในโลกนี้เป็นไปตามอำนาจของกรรม และกระบวนการให้ผลของกรรมที่ส่งผลต่อชีวิตมนุษย์ เพราะกรรมเป็นผู้จำแนกชีวิตมนุษย์นั้นให้มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันตามอำนาจของกรรมเป็นผู้ส่งผลมาในชาติปัจจุบัน ดังพระพุทธภาษิต “ถ้าท่านกลัวทุกข์ ก็อย่าทำกรรมชั่ว ทั้งในที่ลับที่แจ้ง ถ้าท่านจักทำหรือทำอยู่ซึ่งกรรมชั่ว ถึงแม้จะเหาะหนีไป ก็ย่อมไม่พ้นจากความทุกข์ได้เลย )ขุ อุ 25/115/150 และที่ปรากฏในจูฬกัมมวิภังคสูตร มีพระพุทธดำรัสว่า
“มนุษย์ ชายหรือหญิงที่มีอายุสั้น เพราะกรรม ที่มีอายุยืนยาวก็เพราะกรรม
ชายหรือหญิงที่มีผิวพรรณงดงามหรือขี้เหล่ก็เพราะกรรม …ชายหรือหญิง
ที่มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็เพราะกรรม ..ชายหรือหญิงที่มีโภคะทรัพย์
สมบัติมากหรือโภคะน้อยก็เพราะกรรม ..ชายหรือหญิงที่เกิดในตระ
กูลสูงหรือต่ำก็เพราะกรรมส่งผลมาให้ .. ชายหรือหญิงที่มีปัญญามากหรือ
มีปัญญาน้อยก็เพราะกรรม (ม.อุ 14/579-597
คำสอนอีสานนั้นเน้นถึงหลักการที่มองเห็นเพียงความดีหรือความงามในปัจจุบันเป็นหลักเกณฑ์ ดังคำสุภาษิตที่ว่า “ เป็นคนนี้ให้ทำเนียมคือนกเจ่า บาดว่าบินขึ้นฟ้า ขาวแจ้งดั่งนกยาง”(บุญเกิด/28) หมายความว่าเป็นคนให้รู้จักดำรงตนในทางที่สะอาดบริสุทธิ์ รู้จักดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย ตามทัศนะของคำสอนอีสานนั้นมุ่งสอนให้รู้ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญบาปนั้นจะติดตามผู้ทำให้ได้รับความดีหรือความชั่ว ซึ่งจะอำนวยความดีให้ในลักษณะของความเจริญก้าวหน้าในชีวิตปัจจุบันด้วยอำนาจของบุญเก่าดังสุภาษิตว่า
“บุญมีใดเป็นนายใช้เพิ่น บุญบ่ให้เขาสิใช้ตั้งแต่เฮา
บุญมีแล้วแนวดีป้องใส่ บุญบ่ให้แนวขี้ฮ้ายแล่นโฮม
บุญมีได้เป็นนายให้เขาเพิ่ง คันว่าบุญบ่พร้อมแสนซิดิ้นกะเปล่าดาย
คอนแต่บุญมาค้ำบ่ำทำการมันบ่แม่น คอยแต่บุญส่งให้มันสิใดฮอมใด
คือดังเฮากินมีเข้าบ่เอากินมันบ่อิ่ม มีลาบคับบ่เอาเข้าคุ้ยทางท้องบ่ห่อนเต็ม(ย่า)
กรรมตามความเข้าใจของชาวอีสานอีกอย่างหนึ่ง คือเคราะห์กรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาจะพบซึ่งส่วนมากจะเป็นคำสอนให้รู้จักว่าถ้าชายหรือหญิงได้รับสิ่งที่ตนเองไม่อยากได้เท่าใดหนักมักจะโยนความผิดให้แก่กรรมเก่าของตัวเองสร้างมาไม่ดี ดังสุภาษิตว่า
ผู้สาวได้ผัวเถ้ากรรมลาวสร้างแต่เก่า ผู้บ่าวได้แม่ฮ้างกรรมสร้างตั้งแต่หลัง
กรรมแบ่งบั้นปั้นป่อนมาพบ บารมีภายหลังจิ่งได้เวียนมาพ้อ( ดร.ปรีชา
กรรมอีกนัยหนึ่งซึ่งหมายถึงการหมดบุญที่ชาวบ้านเรียกว่าสิ้นบุญกรรมหมายถึงความตายหรือถึงแก่กรรม เพราะว่าไม่มีใครต่อต้านกับอำนาจของพระยามัจจุราชได้ดังสุภาษิตว่า
“ ซื่อว่ากรรมมาเถิงแล้วจำใจจำจาก บ่มีไผแก่ทื้นคืนได้โลกเฮา
ซื่อว่าความตายนี้แขวนคอทุกบาทย่าง ไผกะแขวนอ้อนต้อนเสมอด้ามดั่งเดียว
อันว่าโลกีย์นี้บ่มีแนวตั้งเทียง มีแต่ตายแต่ม้างทะลายล้มเกลื่อนหาย
อันว่าความยม้างไกลกันเจียระจาก คันบ่ม้มโอฆะกว้างซิเที่ยวพ้ออยู่เลิง(ย่าปรีชา)
ทุกข์
การขยายกฏของกรรมได้แบ่งกุศลและอกุศลไว้อย่างชัดเจนว่ามนุษย์ที่ทำกุศลไว้เกิดมาก็มีบุญอุปถัมภ์ ส่วนผู้ที่ทำอกุศลไว้มักจะพบแต่ความยากไร้ลำบาก ชีวิตมีแต่ความทุกข์เรื่องอย่างนี้พระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์ทุกข์ชนชาติย่อมมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือความทุกข์อันมีประจำร่างกาย เรียกว่าทุกข์อริยสัจ ได้แก่ความเกิด ความแก่ ความตาย ซึ่งมีประจำสังขารและปกิณกะทุกข์คือความทุกข์ที่จรมาในบ้างครั้งเท่านั้นคือ ความโศก ความระทมทุกข์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ซึ่งมีแก่ภาวะจิตใจตลอดถึงร่างกายเป็นบางครั้งบางคราว ความไม่สมหวังในสิ่งอันเป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รับที่ชอบไปก็เป็นทุกข์ โดยสรุปแล้วว่าขันธ์ ๕ คือความทุกข์ ดังพระพุทธภาษิตว่า
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกข์อริยสัจนี้แล คือความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส อุปายาส เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่
รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้ข้อนั้นก็เป็นทุกข์ กล่าวโดยย่อ
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ๖
นักปราชญ์อีสานมองชีวิตเฉพาะความทุกข์ที่เห็นกันอย่างใกล้ตัว กล่าวคือความทุกข์อันเกิดจากลูกเมียตายจากไปเป็นความทุกข์อันเกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความทุกข์ที่เกิดจากการต้องเดินทางไกลไปต่างถิ่น หรือความทุกข์ที่เกิดจากการอย่าร้างกันของสามีภรรยา ความทุกข์เกิดจากต้องไปค้าขายหมู ความทุกข์ที่เกิดจากพ่อแม่ตายจากไปสุดที่จะคิดถึง คือทำสิ่งใดที่เกิดความลำบากขึ้นมานั้น กลับมองเห็นว่าเป็นความทุกข์ของชีวิตซึ่งมองไม่รู้ถึงนั้นคือความทุกข์ชนิดต่างๆแต่พระพุทธศาสนาสอนว่าอวิชชาอันเป็นสาเหตุให้ชีวิตเป็นทุกข์ ความทุกข์ในแนวทางคำสอนอีสานนั้นนักปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่ามี ๑๒ อย่างดังนี้คือ
“ ทุกข์หนึ่งลูกตายเสีย ทุกข์สองเมียตายจาก
ทุกข์สามพรากพี่น้องหนีไปไกล ทุกข์สี่ลงไปไทยค้าต่าง
ทุกข์ห้าผัวเมียฮ้างป๋ากัน ทุกข์หกไปนอนวันพรากพี่น้อง
ทุกข์เจ็ดป้องหมูลงไปขาย ทุกข์แปดพ่อแม่ตายแสนคึดฮอด
ทุกข์เก้าบ่มีเมียนอนกอด ทุกข์สิบเทียวทางหลงยามค่ำ
ทุกข์สิบเอ็ดฝนตกฮ่ำกับฟ้าฮ้อง ทุกข์สิบสองเจ็บท้องปวดบ่อมียา12
ความทุกข์อีกนัยหนึ่งที่คำสอนของชนชาวอีสานทราบชัดว่า ชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาย ดังนั้นมันต้องมีความทุกข์อยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารร่างกายที่จะต้องพบกับความลำบากทุกอย่าง ซึ่งคำสอนในลักษณะนี้นักการศาสนาอีสานมองว่าเป็นความทุกข์ของชีวิตอีกแบบหนึ่ง ดังนี้คือ
“ เที่ยวทางไกลอยากน้ำนี่กะยาก ปวดม้ามไกลหมอนี่กะยาก
เฮ็ดนาทามน้ำท่วมข้าวนี่กะยาก อยากเหล้าบ่อได้กินนี้กะยาก
ถากไม้สนขวานบ่อเข้านี่กะยาก บ่อมีข้าวกินลูกหลานหลายนี่กะยาก
ตายบ่อมีพี่น้องหามไปถิ่มนี่กะยาก ตอกหลิ่มใส่ลายขัดนี่กะยาก
ไปวัดเจ้าหัวบ่ออยู่นี่กะยาก ไต่ขัวไม้ลำเดียวนี่กะยาก
เที่ยวทางไกลบ่อมีเพื่อนนี่กะยาก ป้องไก่เถื่อนในดงนี่กะยาก( ภาษิตอีสาน 11
หลักไตรลักษณ์
คำสุภาษิตอีสานได้ช่วยย้ำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงหลักธรรมชาติของชีวิตตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้ทราบถึงหลักความไม่เที่ยงของสังขารตามที่พระพุทธเจ้าทรงชี้บอกว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์และก็ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา( อง. ติก. 20/137/278)
๑ สํ. ส. 15 / 256 /273
๒ ขุ. ธ. 25 /67 /28
๓ ดร. จรัส พยัคฆราชศักดิ์ , อีสาน ๑ ศาสนาและวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสาน, กรุงเทพฯ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) ,๒๕๓๔ ,หน้า ๓๔
๔ องฺ ,ฉกฺก, 22 / 161 /176
๕ ดร.พระมหาบุณย์ สิริทัตโต. ภาษิตอีสาน (อุบลราชธานี, พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๓๒–๓๓
๖ ที. มหา. 10 /294 /226-227