วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

คำพูดที่หนุ่มๆไม่อยากได้ยิน(จริงไหมน๊ะ)

386_imageคำพูดที่หนุ่มๆไม่อยากได้ยิน(จริงไหมน๊ะ)

แน่นอนว่าย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ผู้ชายไม่อยากได้ยินจากแฟนสาว เช่น "ไปช็อปปิ้งกันเถอะ" แต่เอ๊ะผู้ชายบางคนก็ชอบช็อปฯ ระเบิดระเบ้อเหมือนกันนี่นา แต่อาจซื้อแบบรวดเดียวจบ ไม่ได้เดินทอดน่องดูโน่นดูนี่แบบสาวๆ หรือ "คุณทำตัวอย่างกะพ่อของคุณเลย" โอ้โห เล่นเอาไปเปรียบกับบุพการีเลยนะ แต่หนักสุดได้แก่ "ทำไมคุณถึงทำตัว เหมือนกับพ่อของฉันล่ะ" นี่สิเจ็บสุด

ในเมื่อโลกนี้มีคำพูดอยู่มากมาย เหตุนี้จึงเป็นธรรมดาที่ ฝ่ายชายย่อมไม่อยากได้ยิน อะไรระคายหูจากปากของเกิร์ล เฟรนด์ แหงล่ะซี(10 things you never want her to say) ซึ่งคำพูดยอดแย่เหล่านั้นมีดังต่อไปนี้เช่น...

1. "ฉันกำลังคิดว่า..."

ถ้าเธอบอกอีกฝ่ายในอารมณ์จริงจังว่า สิ่งที่เธอพูดเนี่ยเป็นเรื่องซีเรียสนะ งั้นพนันได้เลยว่า ต้องเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ จะแต่ง-ไม่แต่ง หรือจะรับผิดชอบฉันหรือเปล่า...แหงเลย หรือไม่คงเป็นเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันอยู่แน่ๆ เพราะผู้หญิงน่ะชอบสงสัยในสิ่งที่ไม่เข้าท่าในสายตาผู้ชายเรื่อยแหละ เป็นต้นว่า ทำไมคุณถึงรักฉัน? หรือ คุณเคยคิดถึงอนาคตบ้างไหม? ดังนั้น ถ้าไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้แฟนหนุ่มละก็ อย่าเพิ่งเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาดีกว่า

2. "เป็นผู้ชายหน่อยสิ"

ไม่มีอะไรทำให้หนุ่มๆเจ็บปวดเท่ากับการพูดดูถูกความเป็นลูกผู้ชายเชื่อดิ ถ้าเมื่อไหร่ที่แฟนสาวพูดอะไรที่เป็นการหยามหน้า หรือข่มขู่, ถากถางกันละก็ ระวังแฟนหายแล้วจะเป็นแม่นางคานนิเวศน์นะ

3. "พ่อแม่ของฉันอยากพบคุณจัง"

ประโยคนี้ส่อความหมาย 2 ประการ คือ หมายถึง ก. ถึงเวลาแล้วที่เขาควรไปรู้จักกับพ่อแม่ของฉันสักที หรือ ข. ได้เวลาที่พ่อแม่ของฉันจะพิจารณาเขาอย่างจริงจังแล้วล่ะ

เหตุนี้สิ่งที่ฝ่ายชายควรทำก็แค่หวังว่าพ่อของเธอจะไม่ฟันธงว่า เขาเป็นคนไม่ดี แล้วใช้มีดตัด ความสัมพันธ์ของพวกเราฉึ่บฉั่บในทันทีเป็นใช้ได้

4. "ฉันปวดหัวอยู่นะ"

แปลง่ายๆก็คือ คืนนี้ฝ่ายหญิงไม่ขอมีกิจกรรมแอ็กชั่นบนเตียงแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ต้องมาสะกิดสะเกาให้เกิดอารมณ์หน่อยเลย...ขืนได้ยินแบบนี้หนุ่มๆคงคิดสิว่า คืนนี้แห้วแน่ แต่แหมกะจิตกะใจจะเอาแต่ใจตัวเองไปซะทุกครั้งทุกวัน ผู้หญิงก็ระบมกันพอดี ทางที่ดีถ้าเธอบ่นปวดหัว หายาให้เธอไม่ดีกว่าเหรอ แต่ถ้าเธอบอกว่ามียาหรือทานยาแล้ว อีกฝ่ายก็หันมาเอาอกเอาใจด้วยการบีบนวด ออดอ้อนเธอเข้าสิ ผู้หญิงพอได้พักบวก กะเจอลูกอ้อนจากดาร์ลิ่งเดี๋ยวก็เชื่องเป็นลูกแมวได้

5. "นั่นไม่ใช่วิธีที่แฟนเก่าของฉันทำซะหน่อย"

เฮ้ย! เอาไปเปรียบเทียบได้ไงเนี่ย ที่จริงคู่เลิฟไม่ควรคุยจ้อถึงแฟนเก่าต่อหน้าคนรักปัจจุบัน นอกจากเขาจะถาม เพราะชวนให้ทะเลาะเบาะแว้งกันมากกว่าที่จะสร้างความสมานฉันท์ กลมเกลียวนะซี อย่างน้อยก็แสดงล่ะว่า ยังไม่ลืมวันวานที่ขมไปแล้ว แต่เอ คิดอีกทีเธออาจปักใจเกลียดแฟนเก่าเลยต้องพูดเตือนคนใหม่ ไม่ให้ทำอะไรซ้ำรอยเดิมก็ได้ แต่ที่แน่ๆ แม่คนนี้ไม่น่ายกคำพูดนี้ขึ้นมาเลยพับผ่าสิ

หรืออีกกรณีนะ คุณเธอเล่นสาธยายความผิดของแฟนเก่าให้แฟนปัจจุบันฟังละเอียดยิบ นัยว่า หวังดีอยากสร้างความมั่นใจให้แฟนปัจจุบันนั่นแหละ แต่ความเอื้ออารีนี้ เขามักมองไม่เห็นและคิดว่า ฝ่ายหญิงอยากแก้แค้นมนุษย์เพศชายหรือเปล่าซะมากกว่า ถึงได้รื้อฟื้นเอาคนเดิมมาสับเละถึงขนาดนี้ จำไว้เหอะน้อง

391_image6. "คุณคิดอะไรอยู่?"

ผู้หญิงเป็นคนช่างสงสัยในสายเลือด เธอมักอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไรตอนเนี้ย? โดยเฉพาะชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งในแง่ดี เธอใส่ใจกับความรู้สึกของแฟนนะ ก็ถ้าไม่รักคงไม่ อยากรู้ใช่ม้า แต่ผู้ชายสิจะคิดตรงกันข้าม เพราะไม่ชอบเปิดใจออกมาตรงๆ แต่ชอบ "เก็บ" อะไรบางอย่างไว้ในความเงียบมากกว่า บางทีผู้ชายไม่พูดฝ่ายหญิงอาจนึกว่าโกรธหรือไม่ชอบเธอซะเอง-เจอแบบนี้เยอะเลย เหตุนี้ใครว่ามีแฟนน่ะแฮปปี้ ขอเถียงขาดใจ เพราะถ้ามีแฟนไม่ดีก็ใช่ว่าจะอยู่กันได้ง่ายๆ

7. "ตอบมาสิว่าฉันสวยไหม?"

คำถามอีเดียดมากเลย แต่คนเราก็ต้องหลุดความหน่อมแน้มออกมาบ้าง จะให้มีสติแข็งโป๊กตลอดเวลาก็ไม่ไหว แต่รู้ไว้เหอะว่าผู้หญิงมักจับได้เสมอแหละว่าผู้ชายเจ้าชู้ประตูดินแค่ไหน เหตุนี้ฝ่ายชายจึงไม่ชอบที่จะถูกจับได้ไล่ทันแหงล่ะ

8. "คุณสังเกตเห็นความแปลกใหม่ในตัวฉันมั้ย?"

หนุ่มๆรู้แหละว่ามีปัญหาแน่ถ้าตอบว่าไม่ แม้รู้ ทั้งรู้ว่าผู้ชายเยอะแยะเป็นคนไม่ช่างสังเกต เขาจึงคิดว่าคำพูดทำนองเนี้ยเป็นคำพูดที่ผู้หญิงไม่รู้จะถามไปหาอะไร เพราะถ้าเธออยากบอกก็บอกมาเลยดีกว่า ไม่เห็นต้องถามนี่นา เฮ้อ!อาซ้อ อาซิ้มก็เงียะ ชอบถามอะไรฟังแล้วไม่รื่นหูเหมือนหนูๆวัยเอ๊าะๆเลยพับผ่าสิ

9. "เพื่อนฉันหมั้น (หรือแต่งงาน) แล้วนะ"

พูดแบบนี้ก็เหมือนโยนหินถามทางนั่นแหละว่า แล้วเมื่อไหร่คุณมึง (ฝ่ายชาย) จะขอเดี๊ยนแต่งงานสักที รอจนเคี้ยวหมากแล้วนะ จะให้รอไปถึงไหนฟะ มิน่าจึงเป็นคำพูดที่ผู้ชายไม่อยากได้ยินเอาซะเลย แต่ถ้ารักจริงหวังแต่ง คาดว่าไม่น่าจะรอให้สาวพูดอะไรเป็นนัยๆออกมาก่อนหรอก พี่ยกขันหมากมาจองไว้ก่อนละกัน

10. "เราต้องพูดกันแล้วล่ะ"

ขืนได้ยินประโยคนี้ แสดงว่า ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เริ่มมีปัญหาระหองระแหงกันแล้วน่ะสิ ถ้าผู้หญิงงัดคำนี้ขึ้นมา เท่ากับเธออยากเจรจาให้เห็นดำเห็นแดงกันไป แต่เชื่อดิ ถ้าเหตุการณ์ไม่หนักหนาสาหัสจริง ผู้หญิงอยากรอมชอมมากกว่าตัดสวาทชัวร์ป้าด ก็หากยังรักกันอยู่ ก็ขอให้ใช้น้ำเย็นเข้าไว้

นอกจากนี้ยังมีถ้อยคำอีกเยอะที่ผู้ชายไม่อยากได้ยินเช่น "เมื่อวานไปไหนมา?", "ทำไมเมื่อคืนกลับดึก?", "แล้ววันนี้จะกลับกี่โมง?"

คำพูดเหล่านี้ ฝ่ายหญิงอาจถามเพราะเป็นห่วง แต่ผู้ชายชอบตีความว่าทำไมต้องถามด้วย เอ๊ะเห็นกูเป็นเด็กหรือไงทุกทีแหละ เหตุนี้ ใครว่าพูดกับแฟนได้ทุกอย่าง เห็นจะไม่จริงละมั้ง.




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons