วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สิบวิธีเปลี่ยนคุณเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น

 

สิบวิธีเปลี่ยนคุณเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น

606_image

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ผู้ชายมักมองข้ามก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า "ตัวตน" ของพวกเขาเองนั่นแหละ ส่งผลมากที่สุดต่อความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เราไม่ได้กล่าวถึงเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ หรือรูปร่างของคุณ แต่เป็นตัวตนของคุณ คนที่คุณเป็นจากข้างใน นั่นต่างหากที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตคู่ของคุณมากกว่าสิ่งภายนอกทั้งหมดทั้งสิ้น

ลองมาดู 10 วิธีเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น ผู้ชายแบบที่ผู้หญิงมักจะรู้สึกชอบโดยธรรมชาติ

เรียนรู้ที่จะแยกแยะสถานภาพทางสังคมของแต่ละคน

เรียนรู้ที่จะมองเห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบอกคุณว่าสถานภาพทางสังคมของผู้คนรอบตัวคุณเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีสถานะสูงกว่ามักจะดูวอกแวกเล็กน้อยขณะที่เขากำลังพูดคุยกับใครอยู่ ในขณะที่คนที่มีสถานภาพต่ำกว่ามักจะให้ความสนใจกับผู้ที่พูดด้วย 100%

ดูที่กลุ่มคนและพยายามแยกแยะว่าใครมีสถานะสูงกว่า เพราะเมื่อพบกับสถานการณ์ที่ต้องพบปะกับกลุ่มคนจำนวนมาก คุณต้องการที่จะรู้โดยเร็วว่าใครที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่ม และเข้าไปติดต่อพูดคุยด้วย นอกจากนี้คุณยังอยากที่จะทำตัวเหมือนคนที่มีสถานภาพสูง เพราะเมื่อคุณต้องติดต่อพูดคุยกับคนสำคัญๆ พวกเขาจะได้ไม่มองข้ามคุณไป


มองเห็นนิสัยการหลอกตัวเองของคุณ

พวกเราทุกคนล้วนเล่นเกมกับตัวเอง เราพยายามที่จะหลอกตัวเองด้วยการทำเป็นไม่เห็นไม่รับรู้อะไรบางอย่างเพราะมันเจ็บปวดเกินไป ในการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เรื่องนิสัยในการหลอกตัวเองของตัวคุณเองเสียก่อน ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสที่รับรู้ได้ว่าคุณกำลังหลอกตัวเองอยู่ ใช้โอกาสนั้นเรียนรู้และผ่านมันไปให้ได้ ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วคุณจะมีการพัฒนาตัวเองไปสู่อีกขั้นหนึ่ง


ให้ความสมดุลระหว่างการเรียนรู้และการลงมือทำ

มีผู้ชายมากมายหลายคนที่พูดว่า "ไอเดียนี้ผมว่ามันไม่เวิร์คหรอก" เมื่อใดก็ตามที่ใครพูดแบบนี้ เรารู้ได้ทันทีว่าเค้าไม่เคยลองลงมือทำจริงๆ สักที ถ้าคุณอยากรู้ว่าไอเดียนี้เวิร์คหรือไม่ อย่าแค่ศึกษามัน แต่ต้องลงมือทำด้วย แต่ก็มีผู้ชายอีกจำนวนมากที่ชอบบ่นว่าพวกเขาลองทำมานับร้อยนับพันครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที ขอถามว่าพวกเขาเคยศึกษาวิธีที่แตกต่างออกไปหรือเปล่า? เปล่าเลย คนพวกนี้มีแต่ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยเรียนรู้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ต้องมีความสมดุล ทั้งการเรียนรู้และการลงมือทำต้องสมดุลกัน ถ้าคุณกำลังมีปัญหา นั่นหมายถึงคุณกำลังโฟกัสไปยังด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไ


พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

หมั่นฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สิ่งที่คุณทำ และทุกๆ ด้านในตัวของคุณเอง คุณจะพบว่าคนที่หมั่นฝึกฝนพัฒนาตัวเองอยู่เสมอคือคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องผู้หญิงและในชีวิต ให้กำจัดความคิดที่ว่าวันหนึ่งคุณจะถึงจุดที่คุณกลายเป็นคนเพอร์เฟ็คท์และไม่ต้องพัฒนาอะไรอีกแล้ว จงเปิดกว้างให้กับการพัฒนาตนเอง เติบโตไปเรื่อยๆ และอย่าหยุดที่จะเรียนรู้


หยุดยัดเยียดจุดอ่อนของคุณไปยังผู้อื่น

ถ้าคุณต้องการพบปัญหาของตัวเองโดยเร็ว ให้เขียนลิสต์ลักษณะนิสัยของคนที่คุณไม่ชอบ และเขียนลิสต์ลักษณะนิสัยของคนที่คุณชื่นชม จากนั้นถือรายการทั้งคู่ไว้ตรงหน้า สิ่งที่คุณเกลียดที่สุดมักจะสะท้อนสิ่งที่คุณเกลียดในตัวเอง และสิ่งที่คุณชื่นชมในคนอื่นมากที่สุดคือสิ่งที่คุณยังไม่ให้โอกาสตัวเองในการพัฒนาจุดนี้ ฝึกฝนตั้งใจแก้ลักษณะนิสัยที่คุณไม่ชอบและเปิดโอกาสให้คุณได้พัฒนาลักษณะนิสัยที่จะพาชีวิตคุณไปยังอีกระดับหนึ่ง


กำจัดนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง เรียนรู้นิสัยที่ดีขึ้น

นิสัยของคุณก็เหมือนกับแม่น้ำ ยิ่งมีน้ำไหลผ่านมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งเซาะลึกลงไปเท่านั้น จนกระทั่งกลายเป็นแกรนด์ แคนยอนในที่สุด คุณคิดว่าแบบไหนง่ายกว่ากัน ระหว่างการเปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำที่เพิ่งไหลใหม่ๆ กับแม่น้ำที่มีอายุหลายล้านปี? ประเด็นก็คือนิสัยที่คุณทำมาเป็นเวลานานนั้นยากที่จะเปลี่ยนเพราะมันฝังรากลึกลงไปแล้ว ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองมีนิสัยที่ไม่ดีเป็นเวลานาน ให้รีบเปลี่ยนแปลงและแก้ไขหากคุณรู้ตัวว่านั่นเป็นนิสัยที่ไม่ดี เมื่อคุณพยายามที่จะเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีและพยายามสร้างนิสัยที่ดีแทนที่ คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมากในชีวิตของคุณ


รู้สึกตัวเมื่อคุณกำลังสูญเสียการควบคุม

เมื่อไหร่ที่คุณกำลังรู้สึกว่าคุณกำลังสูญเสียการควบคุมในชีวิตให้หยุด และอย่าโทษตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ อย่าให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อ แค่หยุด และมองย้อนกลับมา อย่าบังคับให้ตัวเองพยายามที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้งเพราะนั่นมีแต่จะทำให้เลวร้ายยิ่งขึ้น แต่ควรหยุดและให้โอกาสตัวเองและถอยออกมาบ้าง ใช้เวลาคนเดียวบ้าง ทำสมาธิ หากิจกรรมทำเพื่อที่จะให้คุณเลิกคิดเรื่องนั้นๆ และกลับมาเมื่อคุณพร้อม ผู้ชายที่ขาดการควบคุมตัวเองไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ดึงดูดผู้หญิงหรือมีชีวิตที่มีความสุข

ทำให้บ้านของคุณเป็นที่ของคุณจริงๆ

ลักษณะหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในมนุษย์ นั่นก็คือเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง นั่นหมายความว่าคุณมีพื้นที่ที่เป็นของคุณเองจริงๆ และคุณไม่ต้องการให้ใครเข้ามาบุกรุก ในยุคปัจจุบันนิสัยในการมีพื้นที่เป็นของตัวเองไม่ค่อยได้รับการตอบสนองอย่างถูกวิธีนัก ทางออกก็คือคุณควรที่จะรู้ว่าทำอย่างไรให้คุณมีที่เป็นของตัวเองจริงๆ เมื่อคุณรู้สึกกดดันหรือเครียดจากโลกภายนอกคุณจะได้มีที่ให้ผ่อนคลาย คุณจะได้มีที่ที่คุณอยากไป เมื่อคุณเดินผ่านประตูเข้ามาคุณก็จะได้รู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

แต่คุณจำเป็นต้องปกป้องอาณาเขตของตัวเองด้วย ถ้าใครบางคนเข้ามาในที่ส่วนตัวของคุณและทำอะไรที่คุณรับไม่ได้ ให้บอกว่า "นี่ ผมคิดว่าคุณน่าจะออกไปก่อนดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบเวลาที่อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นในบ้านของผม ทำไมคุณไม่ไปซะเดี๋ยวนี้แล้วเราค่อยคุยกันใหม่ทีหลัง?" ทำให้บ้านของคุณเป็นบ้านของคุณจริงๆ แล้วผู้หญิงก็จะนับถือคุณเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน


เป็นผู้นำ

คนจำนวนมากที่ขาดประสบการณ์เข้าใจผิดว่าการเป็นผู้นำหมายถึงการควบคุมคนอื่นๆ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด อันที่จริงการเป็นผู้นำที่แท้จริงหมายถึงการรู้จักศักยภาพของคนอื่นๆ และสนับสนุนให้พวกเขานำออกมาใช้เพื่อความสำเร็จ ถึงแม้คุณจะไม่อยากเป็นผู้นำ มันก็ยังสำคัญมากที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำที่ดี เมื่อสถานการณ์จำเป็นมาถึงคุณจะได้งัดเอาทักษะด้านนี้ออกมาใช้ ในชีวิตจริงเมื่อเกิดวิกฤติขึ้น ผู้คนมักจะพยายามมองหาว่าใครที่จะมีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำและช่วยให้ทุกคนปลอดภัย จงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำ เพราะผู้หญิงมักจะชอบผู้ชายที่เป็นผู้นำเสมอ


เลิกที่จะยอมผู้หญิงจนเกินเหตุ

สิ่งหนึ่งที่ผู้ชายมักจะทำพลาดเมื่อมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงก็คือการหลอกตัวเองและพยายามอดทนกับทุกสิ่งที่เธอพูด มองข้ามข้อเสียทุกอย่างของเธอและคิดแต่เพียงว่าคุณทนได้ถ้านั่นจะทำให้คุณเข้าใกล้การจะได้มีเซ็กซ์กับเธอมากขึ้นไปอีก เมื่อคุณคบกับผู้หญิง อย่าได้ยอมเธอมากจนเกินเหตุ หยุดที่จะปรนนิบัติเธอราวกับราชินี เพราะถ้าคุณทำเช่นนั้นแล้วมองข้ามไปว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นคนอย่างไร คุณจะสร้างปัญหาให้ตัวเองอย่างใหญ่หลวง คุณจะมีความรักกับคนที่มีข้อเสียเยอะมากและคุณจะมองไม่เห็นเพราะว่าคุณกำลังโกหกตัวเองอยู่ เมื่อคุณเจอผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเพอร์เฟ็คท์เหลือเกิน ให้บอกตัวเองว่า อย่าหลอกตัวเองเด็ดขาด มันจะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับคุณได้อย่างมากในการมีชีวิตที่มีความสุข




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons