วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณติดแฟน จนเว่อร์ไปปะ?

คุณติดแฟน จนเว่อร์ไปปะ?


คุณหนุงหนิงอยู่กะแฟนจนลืมเพื่อนไปรึเปล่าจ้า? ถามไปงั้นแหละเพราะรู้หรอกน่าว่า บางคนไม่ได้คลุกอยู่กะแฟนจนลืมเพื่อนอะไรอย่างที่โดนกล่าวหาหรอก แต่เผอิญพอได้ ใกล้ชิดกะแฟนทีไรก็ไม่อยากห่างหายกันไปไหนเท่านั้นแหละ แหม...ทำอย่างกะว่าตอนนี้แฟนหาง่ายนักนี่ ดังนั้น เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ถ้าไม่ ติดขัดธุระอันใดก็ต้องทุ่ม (เวลา) ให้กะแฟนอยู่แล้ว
อ้อ แล้วเรื่อง “แฟน” กะ “เพื่อน” นี่ บางคนก็ไม่สามารถแบ่งแยกออกได้แฮะว่า ควรจะให้ความสำคัญกับฝ่ายใดแค่ไหนดี? เพราะบางเวลาก็ใช่ว่าคุณอยากอยู่กะแฟนซะที่ไหน หรือหากพูดให้ตรงเป้าตรงประเด็นไปเลยก็บอกได้ว่า บางสิ่งบางอย่างแฟนก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่เพื่อนให้กับพวกเราได้...นี่หว่า เช่น บางคราวนึกอยากไปช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้าตามตลาดนัด เรื่องเนี้ยคงไม่ค่อยมีใครนึกอยากชวนแฟนไปด้วยหรอก เพราะตลาดนัดหรือตลาดกลางแจ้งน่ะจะให้ “มัน” ต้องเดินกะเพื่อนสิ ถึงเจ๋งเป้ง ถ้าไปกะเพื่อนจะได้ช่วยกันคุ้ยเขี่ยหาสินค้าลดราคา, เสื้อผ้าถูกๆ, รองเท้าจ๊าบๆ แล้วก็เดินไปบ่นไปได้ทั้งวัน รับรองเจ้าเพื่อนวัยซนไม่มีวันบ่นอู้อี้ว่าเหน็ดเหนื่อยแน่นอน เพราะเรารู้นี่ว่ามันก็บ้าสินค้าแบกะดินอย่างนี้เหมือนกัน
ขืนไปกะแฟนจอมสำอาง น่ะเหรอ รับรองเดินกันไม่กี่ก้าวเป็นต้องชวนให้ไปเดินช็อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้ากันแหงๆ เอ...แต่ไปกะแฟนแถวๆห้างฯ ก็ดีไปอย่างนะยะ เอ้าถ้าเผื่อเจอของถูกตาต้องใจขึ้นมา คุณก็ออดอ้อนบอกแฟนให้ซื้อให้ได้ ทันที เห็นมะไปกะแฟนก็ดีงี้เอง แต่เค้าจะบ้าจี้ซื้อของที่คุณชอบให้รึเป ล่าก็ไม่รู้ดิ่ ได้แต่หวังลมๆแล้งๆไปก่อนก็เอาน่า
เกริ่นมาตั้งนานก็อยากบอกเพียงว่า บางสิ่งบางอย่างเพื่อนก็ทำแทนแฟนไม่ได้ และในทางกลับกัน บางสิ่งบางอย่างแฟนก็ทำแทนเพื่อนไม่ได้ เช่นกัน
เห็นไหมละฮ้าทั้งแฟนและเพื่อนจึงมีความสำคัญพอๆกัน แหม...ใครจะยอมมีแฟน โดยไม่มีเพื่อนมั่งล่ะ เพราะถ้าไม่มีแฟนแต่มีเพื่อนยังดีซะกว่า...อ้าว! โถอ่านแล้วอย่าเพิ่งสับสนไปซะก่อน หมายฟามว่าถ้าเกิดหาแฟนไม่ได้ ขอแค่มีเพื่อนก็อยู่ได้แย้วนั่นเอง
ว่าแต่ พอคุณมีแฟนแล้ว คุณติดแฟนจนเว่อร์ไปรึเปล่าจ๊ะ? แหม...รู้หรอกว่าเป็นปริศนาที่ใครๆก็สู่รู้...เอ๊ย อยากรู้ งั้นมาซอกแซกแอบดูพฤติกรรมของคนติดแฟนกันเถอะ ว่าเค้าเป็นกันอย่างงี้นะ เช่น
1. อยากทำงานที่เดียวกับแฟน เอ้าก็แฟนทำงานออฟฟิศไหน หนูก็อยากอยู่กะเค้าที่นั่นด้วยคนน่ะซี แต่นี่อาจเป็นได้เพียง “ในฝัน” หรือ “ในความคิด” เท่านั้นก็ได้ พวกคุณคงไม่ได้ทำงานที่เดียวกันแหง เว้น แต่เกิดปิšงรักในที่ทำงานเดียวกัน ก็คงสมใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันทั้งวันทั้งคืนละสิ อ้อ แต่ไม่ได้ บอกซะหน่อย ว่าทุกคู่ที่พบเลิฟกันในที่ทำงานจะเป็น “คนติดแฟน” เสมอไป
2. คุณมักพาแฟนไปไหนต่อไหนด้วยซำเหมอ ขนาดเป็นวันฉลองพิเศษเฉพาะในหมู่เพื่อนๆ คุณก็ยังพาเค้าไปด้วยจนได้ โอ้โห...ก็คู่ของเค้าธรรมดาซะที่ไหน...ว่าเข้านั่น
3. เค้าชอบทานอะไร คุณก็โอเคตามนั้น เพราะไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องการกินอยู่แล้ว
4. แม้เค้าบอกว่ามีนัดกับเพื่อนเรื่องของหมู่เฮา คุณก็ยังเซ้าซี้ขอไปด้วยอยู่ดี เพราะมั่นใจมากว่า สามารถทำให้เพื่อนฝูงของเค้าไม่ขัดเขินเวลาที่คุณอยู่ด้วยรับรอง
5. คุณดิ้นรนที่จะไปดูเค้าเตะบอลให้ได้ แม้เค้านัดกลุ่มก๊วนของเพื่อนไปเต๊ะบอลกันเฉพาะสมาชิกในทีมก็ตาม แต่คุณก็ยังเจียดเวลาเกาะติดเค้าไปด้วยแทบทุกครั้งสิน่ะ

6. ถ้าแฟนต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วหากคุณตามไปด้วยไม่ได้ คุณก็จะให้เค้าโทร. มาหาทุกวันและวันละหลายครั้งด้วย
7. เพื่อนของคุณบ่นอย่างอิดหนาระอาใจเมื่อเห็นคุณพยายามหาวิธีโทรศัพท์ไปหาแฟน อยู่เรื่อยเลย แม้ตอนนั้นเค้ากับคุณแค่ห่างกันเพียงครู่เดียวก็ตาม
8. ถ้าแฟนไม่พาคุณไปงานแต่งงาน, งานเลี้ยงฉลองของที่ทำงานหรืองานปาร์ตี้ที่ไหน คุณก็จะคะยั้นคะยอขอเค้าไปจนได้...อู๊ยจะเป็นฝาแฝดกันเลยว่างั้นเถอะ
9. เวลาเพื่อนๆเม้าท์ถึงการให้อันดับของผู้ที่สมควรได้รับการจารึกชื่อว่า “ติดแฟนเหนียวหนึบ” ละก็...ชื่อของคุณจะถูกเอ่ยมาเป็นอันดับ 1 ชนิดไม่มีชื่อใครมาแซงคุณได้เลยสักคน
10. เพื่อนของแฟนรู้จักคุณครบถ้วนทุกคน เพราะเวลาเค้าไปหาเพื่อนกลุ่มไหน คุณมักไม่พลาดที่จะไปกับแฟนทุกที่ แม้เค้าจะแสดงอาการรำคาญออกมาบ้าง คุณก็ทำเป็นไม่เห็นงั้นแหละ

11. เวลาไปไหนด้วยกัน คุณมักจับมือเค้า เพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทั้งๆที่แฟนคุณก็หน้าตาธรรมด๊า ธรรมดา...อู๊ยทำเป็นจงอางหวงไข่ไปได้
12. ขนาดพ่อแม่ของคุณยังบอกเลยว่า ไม่ค่อยมีเวลาให้ท่านเลยนะ เพราะมัวแต่หนุงหนิงอยู่กะแฟนอยู่นั่นแหละ แต่คุณก็แก้ตัวเรื่อยว่า ไม่ใช่หรอกเป็นเพราะงานยุ่งต่างหาก
13. ถ้าเค้าไม่โทร.มา คุณก็จะโทร.ไปหา ก็แหม คิดถึงนี่นา...แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะคิดถึงหรือรำคาญมากกว่ากันน่ะซี นี่ถ้าไม่รู้จักเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ระวังเค้าเซ็งเอานะ
14. คุณหัดเล่นเกมและกีฬาทุกชนิดที่เค้าชอบ...โถแม่คุณลงทุนถึงขนาดน้าน
15. ครั้งสุดท้ายที่คุณเจอเค้า ก็เพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง เอ๊ะ นับไปนับมา รู้สึกเจอกันทุกวันเลย เป็นงี้ก็ทำให้คุณชื่นฉ่ำใจดีหรอก แต่ทางเค้าสิ อยากให้คุณ “ติดหนึบ” หยั่งงี้รึเปล่าน้อ?

 

http://women.thaiza.com




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons