วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

6 วิธีจีบยอดฮิต

ชอบ ก็จีบเลย ชอบก็จีบ หน่อยเซ่ ยอมให้จีบเลย ยอมให้จีบเลยนะ ยอม เข้ามาจีบเลย เข้ามาจีบเลยเซ่ ฉันไม่เก่งเรื่องนี้ ไม่เก่งเรื่องนี้ วอนเธอทำก่อน? เพลง-?ชอบก็จีบ? ของ ริท เดอะสตาร์ 6 เพลงเนื้อหาน่ารักสำหรับคนเริ่มมีความรัก ?จีบ? คือพฤติกรรมต่อเนื่องหลังจากการตกหลุมรักหรือปิ๊งใครสักคน กรรมวิธีในการจีบขึ้นอยู่กับประสบการณ์, ความกล้า, ความพยายาม รวมถึงทุนทรัพย์ของแต่ละคน มีวิธีจีบแบบไหนบ้างที่คุณเคยใช้หรือว่าคุณเคยรู้กันมา ผมรวบรวมมาให้ได้อ่านกันแล้วครับ ถ้าแบบไหนคุณยังไม่เคยใช้จะเอาไปใช้ก็ไม่ว่ากันครับ
ใช้การติดต่อสื่อสารในรูปแบบต่างๆ
โทรศัพท์ บ้าน, โทรศัพท์มือถือ (บีบี,ไอโฟน), อินเตอร์เน็ท (เอ็มเอสเอ็น, เฟซบุ๊ค, ไฮไฟว์, โชเชียลเน็ทเวิรค์ต่างๆ) ถ้าย้อนกลับไปยุคก่อน สมัยโทรศัพท์มือถือยังเป็นของแพงและหายาก โทรศัพท์บ้านคือทางออกในการติดต่อสื่อสารกัน แต่ต้องเสี่ยงว่าผู้รับสายปลายทางอาจไม่ใช่จุดหมายซึ่งคุณต้องการคุยด้วย คุณอาจโทรไปเจอ คุณพ่อหวงลูกสาวหรือคุณแม่จอบเฮี้ยบก็เป็นได้ แต่ยุคนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนปัจจุบัน ทำให้การโทรหากันเป็นเรื่องง่ายขึ้น ทั้งการส่งข้อความ ส่งเพลง ส่งรูปภาพ รวมถึงโซเชียลเน็ทเวิรค์ในระบบอินเตอร์เน็ทหลากหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกใช้ ตามความชอบ การจีบผ่านสื่อต่างๆเหล่านี้เป็นวิธีการจีบที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงมากเท่าไร แต่ใช้ได้ผลสำหรับหลายๆคู่
หยอดคำหวาน มุขตลก คารมคมคาย

น้ำ หยดลงหินทุกวันหินมันยัง กร่อน ดังนั้นการใช้คำหวาน มุขตลก หรือคารมนั้น สามารถนำมาซึ่งชัยชนะให้กับคุณได้ บางครั้งความตลกยังเป็นเสน่ห์เหนือกว่าการเป็นคนหน้าตาดีแต่ขี้เก็กอีกครับ ถึงมีคำเปรียบเปรยว่า ?คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง? สำหรับคนมีคุณสมบัติทั้งสองอย่างในคนๆเดียวคงต้องถือว่าคุณได้เปรียบคู่แข่ง อยู่หลายเท่าเลยแหล่ะครับ
เจ้าบุญทุ่ม

เทคนิค นี้เหมาะสำหรับผู้มีอัน จะกินเท่านั้น ส่วนผู้มีรายได้น้อยแต่รสนิยมสูงอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เพราะคุณอาจหมุนเงินไม่ทันและเงินไม่พอใช้ ถ้าคุณเปิดตัวด้วยความอลังการ แต่พอตอนคบกันคุณไม่สามารถทำสิ่งที่คุณโปรโมทไว้ในตอนแรกได้ตลอด สุดท้ายคงต้องลงเอยด้วยกันโดยอีกฝ่ายทิ้ง เทคนิคเจ้าบุญทุ่มเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐานคือเลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนม เลี้ยงไอติม เลี้ยงหนัง ซื้อของฝาก (รวมถึงการซื้อของฝากผู้ใหญ่เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจเรียกว่าเป็นการเข้าหา ผู้ใหญ่หรือการคบหากันในสายตาผู้ใหญ่) พาไปเที่ยว เรื่องควรระวังสำหรับฝ่ายรับคือ การคาดหวังสิ่งตอบแทนจากผู้ให้ อีกฝ่ายอาจต้องการได้คุณเป็นแฟน อยากเป็นคนรักคุณจริงๆหรือเป็นการทุ่มเทเพื่อหวังประโยชน์อย่างอื่นจากคุณ เช่น หวังฟันคุณอย่างเดียว คนประเภทนี้ก็มีนะครับ
ตามเป็นเงา เดอะบอดี้การด์

การ ไปรับไปส่ง เดินตามติดเป็นบอดี้การด์นั้นมีผลลัพธ์ได้สองแบบ แบบแรกคือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกชินและอบอุ่นจนในที่สุดก็ขาดคุณไม่ได้ แบบสองคือเกิดความรำคาญเพราะรู้สึกขาดความเป็นส่วนตัว วิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับฝ่ายถูกจีบเป็นสำคัญ โดยคุณต้องสังเกตุว่าวิธีจีบแบบนี้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ถ้าอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่พอใจ คุณควรเปลี่ยนหรือปรับความถี่ของการเข้าหาให้น้อยลง
ตรงๆไม่อ้อมค้อม

วิธี นี้เหมาะสำหรับคนมีความ มั่นใจ ไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลา คือการบอกกล่าวอีกฝ่ายถึงความรู้สึกและตั้งหน้าตั้งตาจีบแบบจริงจัง ด้วยการรวมหลายๆวิธีเข้าด้วยกัน ข้อดีคือทำให้อีกฝ่ายรู้ถึงจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่ข้อเสียคือเสี่ยงต่อความผิดหวัง ถ้าอีกฝ่ายตื่นตูมตกใจหนีไปซะก่อน
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

เป็น วิธีคลาสสิคสำหรับมุขแอบ รักเพื่อน คุณอาจใช้วิธีตีสนิทด้วยความเป็นเพื่อนแล้วค่อยๆละลายหัวใจอีกฝ่ายด้วยการทำ ดีของคุณ ข้อเสียของวิธีนี้คืออาจต้องใช้เวลานานในการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมีใจและยอม รับคุณในฐานะมากกว่าเพื่อน เพราะอีกฝ่ายไม่แน่ใจกับการกระทำของคุณเนื่องจากการเปิดตัวของคุณกับเค้า นั้นเริ่มต้นด้วยฐานะเพื่อนนั่นเอง
มีวิธีไหนที่คุณผู้อ่านเคยได้ ลองใช้กันบ้างแล้วครับ บทความนี้อาจเหมาะกับคุณผู้อ่านผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะจีบผู้ชายก่อนไม่ได้นะครับ เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป มัวเล่นตัวรอฝ่ายชายมาจีบอย่างเดียวคงไม่ทันคนอื่นกิน อย่างในหนังเรื่อง ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? ไงครับ ไม่ใช่เรื่องผิดที่ผู้หญิงจีบผู้ชายก่อน แต่ถ้าบุ่มบ่ามใช้วิธีแบบตรงๆไม่อ้อมค้อมคงดูไม่งามเท่าไร ถ้าคิดจีบผู้ชายก่อนควรค่อยๆเป็นค่อยๆไปไม่ให้อีกฝ่ายหนีหายไปซะก่อนครับ สิ่งสำคัญคือไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ถ้าคิดจีบใครแล้วล่ะก็ การทุ่มเทและความอดทนคือสิ่งที่คุณควรกระทำ ไม่มีใครตอบได้ว่าวิธีไหนดีที่สุดหรือบอกได้ว่าคุณจะจีบคนๆนั้นสำเร็จหรือ ไม่ เมื่อไรก็ตามถ้าคุณรู้สึกรักหรือชอบใครสักคนแล้ว ลุยให้เต็มที่เลยครับ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วมานั่งเสียใจว่าไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเพื่อความ รักของคุณ ถึงมีคำกล่าวที่ว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons