วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไมผู้ชาย ไม่ชอบผูกพันธ์

ทำไมผู้ชาย ไม่ชอบผูกพันธ์

ผู้ชายทุกคนอยากมีแฟน แต่มีผู้ชายจำนวนน้อยเท่านั้น ที่ร้อนรนอยากแต่งงาน เราจะเห็นได้จากการคบกันเป็นแฟนของชายหญิง ตั้งแต่สมัยมัธยม มหาวิทยาลัยจนกระทั่งเริ่มทำงาน
ฝ่าย หญิงส่วนใหญ่จะใฝ่ฝันถึงตอนจบของความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็น...การแต่งงาน แต่ฝ่ายชายส่วนใหญ่มักจะทำตัวเป็นแฟนไปตลอดอยากอยู่ด้วยกันเฉยๆ แต่ไม่มีอนาคต ไม่มีฉากแต่งงาน หลายคนสอดส่ายสายตามองหาหญิงอื่นไปเรื่อยๆ ทิ้งให้ผู้หญิงคนแรกของเขาเจ็บตอนจบ
.... ผู้ชายสมัย นี้ ไม่ว่าจะหล่อเข้ม หล่อตี๋ หล่อลูกครึ่ง ยุโรป อเมริกา การศึกษาสูงระดับด็อกเตอร์
หรือเรียนไม่จบสักอย่าง ฉลาดหรือโง่ ไม่เว้นว่ารวยหรือจน ร้อยทั้งร้อยต่างก็กลัวการผูกมัดกันทั้ง
นั้น … เป็นเพราะอะไร เรามาลองช่วยกันหาเหตุผลของเขาดีกว่า
1. กลัวการรับผิดชอบ
พวกผู้ชายหลายคนได้รับการสั่งสมความคิด และรับรู้กันมาว่า การแต่งงานคือการผูกมัดต้องมอบชีวิตทั้งหมดให้ครอบครัว ซึ่งพวกเขาจะต้องรับผิดชอบภรรยาและลูกๆ ที่จะเกิดมาทำให้พวกเขาแค่นึกก็ขยาดขนหัวลุก เลยพากันคิดว่าอยู่อย่างนี้ดีแล้วไม่ต้องรับผิดชอบใคร
2. กลัวขาดอิสระ
ชีวิตส่วนใหญ่ของเพศชาย มีอิสระล้นฟ้า จะทำอะไร จะไปไหนก็ได้ พ่อแม่ไม่ถือ อาจจะบ่นจะว่าบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรง หายหัวไปนอนบ้านเพื่อนสองอาทิตย์ กลับมาก็ยังได้รับการต้อนรับจากครอบครัวเหมือนเดิม สำมะเลเทเมาแค่ไหนก็ได้ มีแฟนกี่คนก็ได้จะ รีบมีเมียไปทำไม
3. กลัวไม่ได้ทุ่มเทกับงาน
ผู้ชายบางกลุ่มมุ่งมั่นในอาชีพการงาน ชอบการแข่งขัน เพื่อไขว่คว้าหาความก้าวหน้า คนพวกนี้คิด
ว่า การมีครอบครัวจะขัดขวางเวลาในการทำงาน กลัวทำงานดึกไม่ได้ กลัวไปกินดื่มสังสรรค์กับเจ้านาย และลูกค้าไม่ได้อย่างที่เคย เขาจึงไม่อยากผูกมัดกับหญิงใด
4. กลัวอดเที่ยว
ผู้ชายทุกคนชอบเที่ยว บางกลุ่มชอบเที่ยวกลางคืน เฮไหนไปนั่น อยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน บางกลุ่มชอบผจญภัย ชอบขับรถออฟโรด ตะลุยไปทั่วป่าเขาลำเนาไพร ผู้ชายกลุ่มนี้จะทุ่มเทเงินกับการแต่รถซื้อ อุปกรณ์เดินป่า ไม่อยากมีลูกเมียให้เป็นพันธะให้ต้องเป็นห่วง
5.กลัวเพื่อนหาย
เป็นที่รู้กันแล้วว่า ผู้ชายชอบจับกลุ่มอยู่กันเป็นฝูง เพื่อส่องหญิง จีบหญิงแข่งกัน หรือแต่งรถแข่งกัน หาเรื่องมาแข่งขันกันเช่น พนันฟุตบอล เล่นเกมต่างๆ คุยใหญ่โตทับกัน เพราะหัวใจของผู้ชายชอบการแข่งขัน ถ้ามีเมีย เขากลัวว่าจะกลับมารวมกลุ่มกันไม่ได้
6. กลัวว่าตัวเองจะกลัวเมีย
ผู้ชายหลายคนนะ...ที่รักผู้หญิงแบบเทิดทูน แต่พวกเขาก็ยังรักตัวเอง รักชีวิตแบบเดิมๆ ของตัวอง ดังนั้นพวกเขาอาจจะไม่อยากแต่งงาน เพราะเกรงว่ามีครอบครัวไปแล้วจะกลายเป็นคนกลัวเมีย หลงรักลูก ไม่กล้าไปทำอะไรอย่างที่เคยๆ แล้วก็กลัวถูกเพื่อนล้อด้วย...
25_201108042219597. กลัวเซ็กซ์หดหู่
เคยบอกแล้วววว...ว่าเซ็กซ์เป็นสิ่งสำคัญในอันดับต้นๆ ของเพศชาย การเป็นโสดของผู้ชาย อาจหมายถึงการใช้ชีวิตเซ็กซ์อย่างอิสระเสรี มีเพศสัมพันธ์อย่างตื่นเต้นกับหญิงแปลกหน้าไปเรื่อยๆ ถ้าการมีเมียหมายถึง การต้องมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนเดียวพวกเขาจะรีบมีไปทำไม
8. กลัวญาติ (เมีย) เยอะ
ผู้ชายไม่ชอบความวุ่นวาย เพศชายส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครแบบเพศหญิง ถ้าการแต่งงานหมายถึงเขาจะต้องเข้าไปจำยอมอดทนกับ พ่อตา แม่ยาย สารพันญาติกาโหติโกของภรรยา เขาคงต้องหลีกเลี่ยงแน่ๆ ผู้ชายหน้าไหนจะอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน
9. กลัวผู้หญิงเปลี่ยนไป
ผู้ชายอาจรับรู้มาจาก พ่อ –แม่ ของเขา หรือจากครอบครัวเพื่อนว่า ผู้หญิงที่เป็นแฟนกับเป็นเมียต่างกันลิบลับ เช่น แฟนน่ารัก เมียขี้บ่น แฟนหุ่นดี เมียอ้วนพะโล้ ฯลฯ (แล้วผู้หญิงก็มักเป็นเช่นนี้ซะ ด้วย!...) ผู้ชายพวกนี้จะคบผู้หญิงแค่เป็นแฟน แต่ไม่ยอมแต่งงาน
10. กลัว เพราะเห็นแก่ตัว
จากการที่มนุษย์เพศชายส่วนใหญ่ในสังคม ทำให้พวกเขาเคยชินกับอาการใหญ่โตของพวกเขา และเห็นแก่ตัวเกินไป ที่จะต้องเสียสละอันใหญ่หลวง ด้วยการแต่งงาน ผู้ชายบางคนบอกว่าไม่มีเมีย เพราะกลัวเมียมาแย่งกินแย่งใช้...เฮ้อ! อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ...มาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะบอกว่าผู้หญิงหลายคนก็กลัวการแต่งงานเช่นกันนะคะ เพราะภาระการเป็นเมียก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้ากัน โดนเฉพาะการเป็นแม่ ผู้หญิงต้องลำบากกว่าผู้ชายหลายเท่านักแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักกล้าหาญ เรียกร้องการผูกมัด อยากเข้าพิธีแต่งงาน อยากเป็นเมีย อยากเป็นแม่ ...
ว่า แต่ถ้าจะให้ได้เป็นแน่ๆ ต้องทลายกำแพงความกลัวทั้งหลายเหล่านี้ของผู้ชายให้ได้ก่อนนะ

http://hot.ohozaa.com




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons