วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไงดี ถ้าแฟนอยากรีเทิร์น

ทำไงดี ถ้าแฟนอยากรีเทิร์น

สังเกตไหมจ๊ะ ว่าความรักทำให้ใครบางคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ เช่น จากไม่เคยเอาใจใส่ใครมาก่อนเลยในชีวิต แต่พอมีเลิฟขึ้นมาที อู๊ย คราวนี้ล่ะ ถึงได้ฤกษ์ทำตัวสุภาพขึ้น แถมแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน ไม่ว่าจะให้คำปรึกษาหารือยามที่อีกฝ่ายไม่สบายใจ, คอยช่วยเหลือยัวร์เลิฟ (สุดที่รัก) ด้วยการขับรถไปรับไปส่งจากบ้านไปที่ทำงาน แถมยังซื้อของขวัญของฝากมาประเคนให้แฟนบ่อย ๆ จนคนอื่นเห็นความรักของพวกคุณเข้า ก็มักอิจฉาไปตาม ๆ กันน่ะซี
ขณะที่ความรักของอีกหลายคู่ เอ๊ะ ทำไมมันช่าง "ได้หน้าลืมหลัง"...เอ๊ยพอรักไปสักพักชักกลายเป็นรักจืด ๆ เหมือนลืมเติมน้ำตาล, น้ำปลา และน้ำส้มลงไปงั้นแหละ ดังนั้น คู่รักรายใดมีสภาพเป็นแกงจืดไปแล้ว ก็อย่านิ่งดูดาย ควรหันมาสวีทกันใหม่อย่าลืมซะล่ะเอ้า บ่นพอสังเขป สัปดาห์นี้มาเข้าเรื่อง ถ้าหากคุณถูกแฟนเก่าตามตื๊อขอคืนดี แล้วจะรับมือกะเค้ายังไง? โถคำว่า "แฟนเก่า" คงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักใช่ปะ เพราะบางคนอาจมีแฟนเก่ามาแล้วเป็นโหลก็ได้ใครจะรู้ ฮ้า...ขืนมีแฟนเก่าเป็นโหลก็เจ้าชู้ฉิบเป๋งแต่ถ้าแฟนเก่าของคุณ อยากกลับมาสานสัมพันธ์กับคุณอีกครั้งนึงล่ะ ทั้งที่เลิกกันไปแล้ว เอ๊ะไฉนเหตุใดเค้าถึงอยากตามง้อขอคืนดีกับคุณอีกนะเนี่ยถ้าคุณคิดเข้าข้างตัวเอง ก็แสดงว่าหลังจากแยกทางกันแล้ว แม้เค้าจะไปมีกิ๊กหรือแฟนใหม่เป็นใครที่ไหนก็เหอะ เค้าก็ไม่เคยรู้สึกประทับใจเท่ากับตอนมีคุณเป็นแฟนน่ะซิ เพราะคุณดีกับเค้าทุกอย่างนี่ เช่น เคยไปทำความสะอาดบ้านให้เค้า, คอยทำกับข้าวให้ทาน และถ้าเค้าอยากให้คุณช่วยเลี้ยงสุนัขแสนโปรดในยามที่เค้าไม่อยู่บ้าน คุณก็เต็มใจซะด้วย เค้าก็เลยชอบคุณน่ะซี (เอ๊ะหรือเห็นเป็นคนรับใช้ของเค้า ก็ไม่รู้วะ...อุ๊บส์)จึงไม่แปลกหากเค้าจะโหยหา อยากกลับมาเป็นแฟนคุณอีกครั้ง แต่ขืนเป็นงี้คงทำให้คุณตัดสินใจลำบากแหง ๆ แหมในเมื่อแฟนเก่ากลับมาหาคุณใหม่ทั้งที จะไม่ให้ดีใจ...เอ๊ย ประหลาดใจได้ไง เพราะคุณต้องทบทวนหลายสิ่งก่อนจะกลับไปคืนดีหรือปฏิเสธแฟนเก่ารายนี้น่ะเซ่ เช่น...

1. หาเหตุผลที่แท้จริงให้ได้ว่า เค้าอยากกลับมาเป็นแฟนกับคุณอีกทำไมมิทราบ ในเมื่อทั้งคุณและเค้าเลิกเป็นแฟนกันไปแล้ว ดังนั้น ถ้าเค้าเกิดกระแดะติดต่อมาหาคุณอีก ไม่ว่าจะผ่านทางเพื่อนสนิทของคุณ หรือเค้ายังจำเบอร์มือถือของคุณได้ ก็เลยโทร.มา แล้วทำเป็นสอบถามว่าช่วงเวลาที่พวกเราไม่เจอกันน่ะ คุณสบายดีหรือเปล่า?, มีใครมาจีบมะหรือไปจีบใครเข้าล่ะ? ถ้าโทนเสียงเหมือนขี้เล่นก็แล้วไป แต่ถ้าเค้าไม่ถามเล่น ๆ ล่ะ คุณก็ย่อมสงสัยแล้วอ่ะดี้ ว่าเค้าจะมาไม้ไหนใช่ม้าก็ปล่อยให้เค้างัดกลยุทธ์หวังจีบคุณอีกครั้งออกมาเลย แล้วดูสิว่าเค้าจะเริ่มชวนคุณออกเดทอีกครั้งเมื่อไหร่ ซึ่งหากอยากรู้ว่าเค้ากลับมาหาคุณทำไม? คุณก็รับนัดไปเดทกะเค้าซะสิ
                แล้วทีนี้ ก็ถึงตอนสำคัญที่คุณจะถามเค้าตรง ๆ แล้วล่ะว่า "ที่โทรศัพท์มาหาเดี๊ยนทุกวัน แถมยังวันละหลายครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าตอนนี้เค้าโสดสนิทนะ มันหมายความว่าอะไรจ๊ะ" ถ้าเค้ากล้าและจริงใจกับคุณจริงละก็ เค้าคงไม่ปิดบังหรอกว่า ทำไมเค้าถึงอยากกลับมาสวีวี่วีชวนคุณเป็นแฟนกันอีกครั้ง เช่น อาจบอกว่าเค้าเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าคุณเป็นสาวที่เหมาะสมกับเค้าที่สุด...อ้าว แสดงว่าแต่ก่อน เค้าไม่เคยคิดแบบนี้กะคุณเลยเรอะ เออว่ะ พอเลิกกันแล้ว ถึงเพิ่งคิดออก...โอ๊ยจะบ้าตาย หรือถ้าเค้าสารภาพว่ายังรักคุณเสมอ...เอ้าแล้วตอนก่อนเลิก ทำไมเค้าถึงลืมคำนี้ไปซะล่ะกระนั้นไอ้พวกที่พูดจริงก็มี อย่ามองแฟนเก่าแต่ในแง่ร้าย แต่คุณต่างหากที่ควรรู้นิสัยของเค้าดีกว่าใคร ว่าเค้าตอแหลเก่งมาแต่ไหนแต่ไร หรือเค้ากะคุณแค่มองตากันก็เข้าใจกันแล้ว

2. จังหวะที่เค้ากลับมาจีบคุณคราวนี้ เป็นช่วงที่คุณมีแฟนใหม่แล้วรึยัง ถ้าเค้าสะเหล่อเข้ามาประจบประแจงและง้อคุณ ตอนที่คุณดั๊นมีแฟนแล้วละก็ ย่อมทำให้สาวสวย เซ็กซี่และผิวพรรณเนียนนุ่มอย่างคุณ (โอ้โห เล่นชมกันเองซะแล้ว 555) ลำบากสะดือ เอ๊ยลำบากใจแหง ๆ เลย เอ้งี้ จับปลาสองมือซะเลยดีมะ แต่ไม่เอาน่า ผู้หญิงน่ารักแถมไม่หลายใจอย่างคุณ ไม่มีทางจับปลา 2-3 มือแน่นอน ขืนโง่ทำงั้น คงไม่เหลือใครเลยน่ะซี

3. ถ้าเผอิญคุณมีแฟนอยู่พอดี แล้วจะบอกแฟนคนล่าสุดไหมว่าแฟนเก่าของคุณอยากกลับมาคืนดีด้วย โหเรื่องนี้ต้องคิดให้รอบคอบหน่อยนะ เพราะถ้าให้บอกโต้ง ๆ กันอย่างตรงไปตรงมา มันก็เป็นหนทางที่ดีอยู่หรอก แต่เชื่อปะ เมื่อคุณเอ่ยปากพูดถึงแฟนเก่าขึ้นมาเมื่อไหร่ละก็ แฟนคนล่าสุดย่อมซักไซ้ไล่เลียงหาความเป็นมา ของไอ้แฟนเก่ารายนี้อย่างละเอียดยิบแหง ๆ งั้นโอมเพี้ยงขอให้แฟนของคุณรับรู้ความสัมพันธ์เก่าก่อนด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ทีเถิด ไม่งั้นละเดี๋ยวอาจผิดใจกันแล้วจะยิ่งช้ำเข้าไปใหญ่ แต่ยืนยันนะว่าไง ๆ ก็ควรบอกแฟนให้รู้ไว้

4. แล้วจะเลือกเก่าหรือใหม่ดีน้าใครจะไปรู้คำตอบดีกว่าคุณล่ะ เพราะคนเคยรักแล้วมาเลิกรากันไป แถมกลับมาหากันใหม่ ย่อมมีอะไรทะแม่ง ๆ นะ แต่ก็อีกแหละ บางทีเลิกกันเพราะสมัยโน้นคุณกับแฟนเก่า ยังมีความคิดเป็นเด็ก ๆ กันอยู่ก็ได้ ส่วนแฟนล่าสุด ถ้าไม่ได้สนใจไยดีกะคุณนัก ก็โบกมือบ๋ายบายไปซะดีกว่า หรือถ้าแฟนล่าสุดเกิดระแวงคุณขึ้นมาแล้วหาเรื่องกับคุณอยู่ได้ ทั้งที่คุณไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเค้า ก็ควรพูดจากันซะให้รู้เรื่องไปเลย เลือก คนที่คุณคิดว่าเค้าเหมาะกะคุณมากที่สุด ตลอดจนรัก, ห่วงใยและอาทรคุณคนเดียว ถ้าใครมีคุณสมบัติครบเซตหยั่งงี้ ก็เลือกคนนั้นละกัน แล้วอย่าตาถั่วเชียว

http://hot.ohozaa.com/




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons