วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สาว 12 แบบ ที่น่าจีบไว้เป็นแฟน

สาว 12 แบบ ที่น่าจีบไว้เป็นแฟน


สมัย นี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายดีๆ หายากตายชัก แต่ อย่าเพิ่งท้อไป เพราะก็ยังมีผู้หญิงนิสัยดีอยู่อีกเยอะ แม้จะหายาก ก็ตามที ว่าแต่ คำว่า "ดี" ในที่นี้ มนุษย์แต่ละคนคงให้ดีกรี "แห่งความดี" ของคนที่เราจะคบหา สมาคมด้วยแตกต่างกันไป เพราะเห็นมาเยอะแล้ว ที่ดีสำหรับเรา แต่คนอื่น กลับมองว่าไม่ดีก็มีถมเถ ดังนั้น มาดูกันดีกว่าว่า มี ผู้หญิงแบบไหนบ้างล่ะ ที่ควร คว้ามาเป็นแฟน (12 Types of Women You Should Date) และนี่ก็เป็นคุณสมบัติของสาวๆที่ใครๆ ก็หมายปอง ได้แก่...
1. มิสแสนหวาน (Miss Sweet)
เป็น ผู้หญิงที่ ในชีวิตมีแต่เรื่องดีๆ รื่นเริงบันเทิงใจ มองโลกในแง่ดี จึงทำให้ฝ่ายที่จะมาเป็นคู่รัก มีแต่ความสดชื่นเมื่ออยู่ใกล้ เธอช่างเป็นสาวที่มีความจริงใจ (โอ้ย เขียนไปก็เริ่มจะเอียน ด้วยความอิจฉาตาร้อนผ่าว) ฉะนั้น หากใครพบ ก็ควรรีบตะครุบไว้ อย่าปล่อยให้ ม.ค.ป.ด.นะยะ
**************************************************
2. มิสเสมอภาค (Miss Equality)
แบบ นี้เป็นนักสิทธิสตรีตัวยง แต่ไม่ถึงกับต่อ ต้านเพศชายนะ เพียงแต่เธออาจไม่พอใจมากๆ หากเกิดรู้ว่าเธอถูกเลือกปฏิบัติขึ้นมาก็สวยล่ะสิ มิสเสมอภาคเชื่อว่า ทั้งชายและหญิงควรจะก้าวเดินไปพร้อมๆกัน หรือไม่ก็เป็นหุ้นส่วนแบบ 50/50 และเต็มใจที่จะหารความรับผิดชอบและค่าเที่ยวหรือค่าใช้จ่ายกันคนละครึ่ง หนุ่มๆคงชอบแหละเพราะไปเที่ยวด้วยกันก็อเมริกันแชร์
**************************************************
3. มิสเซ็กซ์จัด หรือเซ็กซ์ขึ้นสมอง (Miss Sexsual) ชื่อหวาดเสียวเนอะ
ชื่อ ของสาวประเภทนี้ก็บอกแล้วว่า ชอบกิจกรรมกามกิจเป็นพิเศษ หากชอบเซ็กซ์กะเซ็กซ์มาเจอกันก็โป๊ะเชะไปเลย แต่เปล่านะ เธอไม่ได้กำลังขายเซ็กซ์หรือใช้เซ็กซ์เป็นเครื่องมือปั่นหัวพวกผู้ชาย เพียงแต่สาวกรุ๊ปนี้เค้าเรียกร้องความต้องการตามธรรมชาติน่ะ เพราะรับรองได้ว่า เธอปรารถนาเซ็กซ์แต่ไม่สับสนกับความต้องการทางเพศ ที่รุนแรงของสาวมีปัญหาทางจิตหรอกน่า เธอสามารถมีเพศสัมพันธ์ กับคนที่เธอชื่นชอบได้ไม่ยาก แถมหนุ่มๆจะหลงผู้หญิงแบบนี้ด้วยสิ
**************************************************
4. มิสเพื่อนที่แสนดี (Miss Best Friend) ถ้าเรียก ทับศัพท์ว่า มิสเบสท์ เฟรนด์ ยังเพราะกว่าอีก เห็นด้วยไหม?
สาวรายนี้ใกล้ เคียง กับมิสหวานจ๋อย สาวประเภทนี้น่าคบจะตายไป ถ้าได้เธอเป็นแฟนก็เหมือนยิงทีเดียวได้นก 2 ตัว เพราะ จะได้เพื่อนซี้ด้วยไง ทีนี้แหละ ไปไหนก็ชวนกันไป จะชวนดูเกมโชว์ ชวนดูกีฬาเธอก็ไม่เกี่ยง ชอบทำกิจกรรมด้วยกัน แถมหากมีอะไรเกิดขึ้นกะแฟน เธอก็จะเข้าข้าง "หวานคอแร้ง" เอ้ย หวานใจเสมอ หนำซ้ำยังตลกกับเรื่องขำขันฝืดๆของแฟนได้ด้วย
**************************************************
5. มิสตรงไปตรงมา (Miss Straightforward)
เป็น สาวที่รู้จักวิธีสื่อสาร เพราะไม่ชอบเล่นเกม ปวดหัว ฉะนั้น ทำอะไรตรงไปตรงมาดีกว่า ไม่ต้องให้ หนุ่มๆมาอ่านใจให้น่ารำคาญ บรรดากูรู (แปลว่ารอบรู้ ไม่ใช่รูกู) คอนเฟิร์มว่า มิสเถรตรงเป็นสาวมั่น ถ้าเธอติดตาต้องใจหรือชอบใครละก็ หากรู้เบอร์โทรศัพท์ เธอจะไม่มีวันรีรอหรือทำเป็นอ้อยอิ่ง รอให้ราชรถมาเกยเด็ดขาด แต่เธอติดจะเป็นคนขวานผ่าซากนะ เลยไม่ค่อยได้เห็นความดัดจริตของสาวกลุ่มนี้เท่าไหร่
**************************************************
6. มิสอิสระเสรี (Miss Independent)
ถ้า ไม่มีเวลามากพอที่จะทุ่มให้กับความสัมพันธ์ ละก็ สาวรายนี้แหละที่เหมาะกะคนไม่ค่อยมีเวลามาประคบประหงมเธอมากที่สุด เพราะหล่อน อยู่คนเดียวได้สบายมาก ไม่เกาะติดแฟนเกินไป ว่ากันว่า สาวพวกนี้อยากมีคนรักก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า จำเป็น "ต้องมี" เสมอไป อ้าว! ยังไงกันเนี่ย อ๋อ แปลว่า จะมีแฟนก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร
**************************************************
7. มิสจงรักภักดี (Miss Loyal)
รับรอง ได้เธอเป็นแฟนแล้วจะรู้ว่า ความซื่อสัตย์ และรักเดียวใจเดียวน่ะมีจริงนะยะ ว่าแต่คนรักของเธอจะสัตว์...สัตย์ซื่อด้วยรึเปล่า นี่ก็เวรกรรมของใคร ของใครก็รับกันไป
**************************************************
8. มิสไร้แรงกดดัน (Miss No Pressure)
ขณะ สาวๆหลายนางพยายามเหลือเกิ๊นที่จะได้ แต่งงาน แต่ "มิสไร้ซึ่งแรงกดดัน" จากครอบครัวและคนรอบข้างทั้งปวงไม่ตกเป็นเหยื่อของพรรค์นี้ เธอจะมีความสุขกับการได้เลือกคนรักเอง และอยู่กะเขาแบบไม่ต้องพะวงว่าจะมีใครกีดกันรัก แหม้ดีจริงจริ๊งนะจ๊ะหนู
**************************************************
9. มิสมั่นคง (Miss Secure)
จะ ยอมรับตัวตนของเธออย่างที่เธอเป็น ทั้งข้อดีและเสีย แถมยังรู้สึก อย่างนี้กะคนรักด้วย หล่อนไม่ ต้องการความเอาใจใส่อย่างมากมายเกินเหตุจากดาร์ลิ่ง เพราะเธอรู้หน่าว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควรได้อย่างไร
**************************************************
10. มิสบุคลิกยอดเยี่ยม (Miss Personality)
แม้ เธอไม่ได้ชนะเลิศการประกวดความงาม (ก็ไม่ได้ไปประชันขาอ่อนกะใครนี่หว่า) แต่ความเฉลียว-ฉลาด เฉียบแหลมและฉายแรงเปล่งประกายเลอเลิศด้านบุคลิก ล้วนเป็นแม่เหล็กทำให้เธอเป็นที่หมายปองของใครๆ สาวที่มีบุคลิกดีเนี่ยนะ บางทีได้เปรียบสาวสวยซะด้วยซ้ำ เพราะแหม มารยาทดีปานนี้ ถ้าแฟนจะพาไปหาพ่อแม่เค้าก็ง่ายใช่ป่าว
**************************************************
11. มิสเรียบง่าย (Miss Low Maintenance)
โอ้ หญิงประเภทนี้หายากที่สุดของความยากเลย เชียวล่ะ เพราะเธอจะไม่แคร์หรอกว่าแฟนรวยจนแค่ไหน เพราะเธอไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยที่ใช้เงินเปลืองอยู่แล้ว เพราะ ฉะนั้น เธอจะเลือกใครมาเป็นแฟนก็เพราะรัก แล้วเธอก็คิดว่าตัวเองสามารถหารายได้มาจุนเจือตัวเองได้
**************************************************
12. มิสสาวที่ "ใช่เลย" สำหรับคุณ (Miss Right for You)
ผู้ชาย มักเลือกควงสาวหน้าตาดีมีเสน่ห์ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้เขา ดูดีในหมู่เพื่อนๆของเขาไปด้วย แต่ลืมว่า ใครกันแน่ที่เหมาะกับเขาอย่างแท้จริง เพราะบางทีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มธรรมดาอาจให้ความรัก และความอบอุ่นมากกว่าคนสวยที่รักแต่ตัวเองและไม่รักผัว...เอ๊ยแฟนก็มี เหตุนี้เวลาจะสมัครรักใคร่กะใครก็หัดเลือกคนที่จิตใจดี ดีกว่าเลือกเพราะองค์ประกอบภายนอก สวยๆหล่อๆน่ะมีแต่จะทำให้ช้ำ ทราบแล้วเปลี่ยน




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons