วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

16 นิสัยไม่ไหวจะเคลียร์

1. ใจร้อน เป็นไฟ วีนได้ไม่เว้นวันหยุดราชการ
นิสัย แบบ ไม่ไหวจะเคลียร์ข้อแรกก็คือ นิสัยใจร้อนเป็นไฟ ขี้วีนแบบสุดขีด ประมาณว่า เจออะไรไม่ถูกใจเข้าหน่อยก็แผลงฤทธิ์โวยวายจะเอาเรื่องให้ได้ นิสัยอย่างนี้นอกจากจะหาเรื่องเจ็บตัวง่ายๆแล้ว ยัง สร้างศัตรูแถมเพื่อน ๆ อาจพากันหายหน้าเพราะเซ็งกับ การมีเพื่อนขี้วีน จนเธอต้องนั่งสะกดคำว่าเหงา อยู่คนเดียว
2. เอาแต่ใจตัวเอง จนชาวบ้านเซ็ง
แม้ ว่าเรา จะถูกเลี้ยงดูแบบสปอยสุดขีดขนาดไหน แต่ถ้าติด นิสัยเอาแต่ใจแล้วเอาไปใช้กับเพื่อน รับรองได้เลย ว่า เพื่อนต้องพากันจนลีหนีหน้าไปหมดแน่ ๆ เพราะคนที่เอาแต่ใจเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ หัดเอาใจคนอื่นให้มากขึ้น แล้วเธอจะพบว่าตัวเอง น่ารักได้อีก !
3. แล้งน้ำใจตลอด ขอแค่ฉันเอาตัวรอดเป็นพอ
ไม่ ว่ายัง ไง น้ำใจก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้า เราแล้งน้ำใจ เพื่อนขอให้ช่วยอะไรก็ไม่ช่วย หรือบางทีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ แบ่งปันให้คนอื่นได้ก็หวงไว้ทำหอกอะไรไม่รู้ รู้ แต่ไม่ชอบแบ่งปันใคร เธอจะเป็นคนประเภทที่ไม่น่า เข้าใกล้อันดับต้น ๆ เลยล่ะ
4. งี่เง่า ไร้ เหตุผล จนผู้คนรอบข้างปวดกบาล
ประเภท ที่ งี่เง่า ไม่เคยฟังเหตุผลอะไร คิด แต่อยากได้ยังไงก็ต้องได้ ย้ำเลยว่าถ้าเธอไม่แก้ นิสัยนี้ ผู้คนจรลีออกไปจากชีวิตเธอชัวร์ ไม่มีใครอยากอยู่กับคนที่ไม่มีเหตุผลหรอกนะ พยายามใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ให้มาก ๆ ทุกอย่างจะเวิร์ก
5. ในโลกนี้ไม่มีใครดีเท่าตัวฉัน เลยดูถูกคนอื่นซะงั้นเลย
ประเภท ที่ ชอบดูถูกคนอื่นไปซะหมด มองคนอื่นว่าด้อย ไม่เก่ง ไม่สวยไม่หล่อ สู้เราไม่ได้ ไม่อยากอยู่ ใกล้เพราะขยะแขยง ขอบอกไว้เลยว่า เธอนั่นแหละที่น่าขยะแขยงในสายตาคนทั้งโลก เพราะพฤติกรรมแบบนี้ มัน บ่งบอกว่าจิตใจเธออยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าน้ำทะเลอะดิ
6. หนังสือสอบเป็นยังไงไม่เคยเห็น เข้าห้องสอบแปลงกายเป็นยีราฟคอยาว
ประเภท ที่ ชอบเอาเปรียบเพื่อน ไม่ยอมอ่านหนังสือสอบ สักแต่ว่าจะลอกอย่างเดียว ขอ บอได้เลยว่า เธอจะไม่เวิร์ก ทั้ง ในเรื่องสมอง และมิตรภาพ เพราะ เพื่อน ๆ จะเริ่มเอือมระอาในความเห็นแก่ตัวของเธอ น่ะสิ ที่เธอได้คะแนนดี ๆ เพราะ เป็นปลิงเกาะ ( สมอง ) เพื่อน แต่เพื่อนอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือแทบตาย
7. เรื่องส่วนตัวยังไม่สันทัด แต่ถนัดจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน
คน ที่ชอบ จุ้นเรื่องของคนอื่นไปซะหมด รู้ชัดยิ่งกว่าตำรา เรียนว่าใคร ทำอะไร ที่ ไหน อยากรู้อยากเห็น ขอ เจ๋อเสมอต้นเสมอปลาย เธอจะได้รับฉายาบุคคลไม่น่า คบไปโดยปริยาย ทางที่ดี หัน มาอัพเกรดเรื่องของตัวเองให้ดีขึ้นดีกว่า อย่า เจ๋อเรื่องคนอื่นให้เสียเวลาอยู่เลย
8. โกหกไปวัน ๆ เพราะ ฉันคือนางเอกเรื่องสาวน้อยสตรอว์เบอร์รี่
ความ จริง คืออะไรไม่รู้จักแค่ลื่นไหลไปวัน ๆ เพราะอยากได้ สิ่งที่ตัวเองปรารถนา คนแบบนี้รับรองได้เลยว่าจะ ต้องถูกเฉดออกจากสังคมแน่ ๆ เพราะคงไม่มีใครอยาก อยู่กับคนที่เชี่ยวชาญเรื่องสตรอว์เบอร์รี่ตลอดเวลา คน เราต้องการความซื่อสัตย์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ และ เธอก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรอ ?
9. ทำตัวเป็นนักวิจารณ์ ใครเดินผ่านเป็นนินทา
พวก ที่ชอบ นินทาชาวบ้านก็เป็นอีกพวกที่จัดอยู่ในกลุ่มน่ารังเกียจอันดับต้น ๆ ยิ่งคนที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่นเสียหาย เพียงเพราะอยากได้เพื่อน อยาก ให้เพื่อนเกลียดคนอื่นเพื่อมาเลิฟตัวเองน่ะ นอก จากจะเป็นการกระทำที่โง่มาก ๆ แล้ว ยังเป็นการ กระทำที่เข้าข่ายน่าเกลียดอีกด้วยนะจ๊ะ
10. กร่างเป็นจิ๊กกี๋ รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
แม้ ว่า แก๊งเราจะมีพวกเยอะ อิทธิพลแยะ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะไปรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ หรือ คนที่อ่อนแอกว่า ยิ่งเพียงเพราะความสะใจของตัวเอง แล้วละก็ ยิ่งไม่ควรเข้าไปใหญ่ เพราะคนที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ได้เรียกว่าเก่งเลย ออกจะขี้ขลาดมาก ๆ ซะด้วยซ้ำ
11. ใครจะมองยังไงไม่เห็นแคร์ แหมก็แค่เลิฟซีนกันแค่นั้นเอง
ทน ไม่ได้ จริง ๆ กับภาพผู้หญิงปล่อยตัวให้ผู้ชายจับนั่นแตะ นี่อย่างไม่หวงเนื้อหวงตัวกลางสาธารณะชน นี่ยัง ไม่รวมประเภทกอดจูบลูบคลำโชว์ชาวบ้านเพราะคิดผิด ๆ ว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ แน่ละผู้ชายควรให้เกียรติเรา แต่ถ้าอยากให้เค้าใหเกียรติเรา ก็ ควรเซฟตัวเองให้เป็นผู้หญิงที่ไม่ง่ายด้วย ถึงจะ ถูก
12. ขี้ขโมย ฉก ทุกอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง
แม้ บางที จะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ไม่ควร ที่เธอจะไปหยิบฉกมาใช้โดยไม่ขออนุญาต เพราะมัน เป็นการกระทำที่แสดงว่าเธอไม่มีมารยาทเอาซะเลย และ ของบางอย่างมันก็มีคุณค่าทางใจของเจ้าของ การที่ เธอไปฉวยเอามา อาจทำให้เค้าเสียใจมากกว่าที่เธอ คิด
13. แต่งตัวเอ็กซ์เซ็กส์ไม่ว่าที่ ไหน ไม่เคยเกรงใจคำว่า "กาลเทศะ"
อนุโลม ให้ ได้ถ้าเป็นการเปรี้ยวแบบมีระดับ ( ไม่โป๊เกินไป ) ในงานปาร์ตี้ และมีคนไว้ใจ ได้มารับมาส่ง แต่ถ้าเป็นสถานศึกษา งานที่ต้องจริงจังสำรวม เธอยังโชว์โป๊ไป อวดใครไม่รู้ เธอจะกลายเป็นพวกที่ไม่มีสมองขึ้นมา ทันที นอกจากจะอันตรายแล้ว ยัง โชว์โง่อีกต่างหาก
14. หยาบคายวาจา เหมือนเลี้ยงหมาไว้ในปาก
พูด จาแต่ ละทีสัตว์เลื้อยคลานเต็มถนน แบบนี้นอกจากจะไม่น่า รักแล้ว คนอาจจะมองว่าเธอขาดการอบรมบ่มสอนจากพ่อ แม่ได้ และขอบอกว่า แค่ คำพูดก็สามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่า เธอจะดึงดูดคนดี มีระดับ หรือคนโหล่ยโท่ยโซ้ยไม่ลงมาในชีวิต
15. นิยามฉันคือสวยเลือกได้ ไม่ว่าใครผ่านเข้ามาฉันกิ๊กกั๊กไว้หมด
เจ้า ชู้ไป เรื่อย ปล่อยตัวไม่เลือกหน้า แบบ นี้ก็ไม่เวิร์กนะจะบอกให้ เธออาจเคยชินกับการ บริหารเสน่ห์ตัวเอง และรู้สึกว่าการกั๊กผู้ชายไว้ ในฐานะกิ๊กมาก ๆ คือแปลว่าเธอป๊อบปูลาร์ ขอบอกเลยว่าเธอคิดผิด เพราะ แทนที่เธอจะดูป๊อป เธอกลับดูเหมือนพวกใจง่าย ขาดความรัก เพราะกลัวว่าคน ที่รักเธอจะจรลีไป เลยกั๊กไว้ซะงั้น
16. คิดว่าเป็นเรื่องเท่ ที่ทำตัวเกเรมั่วอบายมุข
สุด ท้าย ที่ถ้าใครทำอยู่ควรเปลี่ยนด่วนก็คือ การมั่ว อบายมุข สุรา ยาเสพติด ทั้งหลาย ถ้าเธอหลงไปมัวเมากับมันเมื่อไหร่ มีแต่อนาคตดับวูบก็เท่านั้น เชื่อ เหอะ .. ของพวกนี้น่ะไม่เคยทำให้ชีวิตใครดีขึ้น มี แต่ตกต่ำลงจนกระทั่งไม่เหลืออะไรเลย

byfahsai




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons