วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

อ่านใจหนุ่มในฝันจากโหงวเฮ้ง

T060711_04P_rอ่านใจหนุ่มในฝันจากโหงวเฮ้ง

รูป หน้าหนุ่ม ๆ แบบไหน ที่วางใจได้ ใครเจ้าชู้ ใครที่รักเดียวใจเดียว และมองอย่างไรถึงจะรู้ว่าเขาเลี้ยงเราได้ทั้งชีวิตรึเปล่า? เรามีคำตอบให้ ณ ที่นี้แล้ว!

การดูลักษณะใบหน้าคน หรือที่เราเรียกกันว่า "โหงวเฮ้ง" นั้น คือ ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่ต้องมีทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติด้วยการสังเกต แต่เพื่อจะเจาะลึกว่าคุณผู้หญิงอย่างเราควรเชื่อหรือไม่เชื่อใจผู้ชายคนไหน ในแวบแรกที่เห็น เราจึงไปขอคำแนะนำจาก อ.รุ่งนภา อังคะสิริกุล ผู้เขียน "โหงวเฮ้ง ศาสตร์การอ่านคนจากใบหน้า" เจ้าของเว็บไซต์ Ngowheng.com

อ.รุ่งนภาแนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษามาก่อนเลย จะต้องมาเริ่มกันจากความหมายซึ่ง "โหงวเฮ้ง" แปล ว่า การดูลักษณะ 5 ประการ หากจะพูดถึงองค์ประกอบบนใบหน้าก็จะได้แก่ ตา จมูก คิ้ว และปาก นอกจากนี้ ยังดูความสมดุลด้วย เช่น หากเป็นคนตาโต คิ้วต้องหนา จมูกโต ริมฝีปากหนา และกว้าง หูใหญ่ นี่คือลักษณะที่สมดุลดี สำหรับลักษณะขององค์ประกอบต่าง ๆ เราอาจดูโหงวเฮ้งคนได้คร่าว ๆ ดังนี้


หู บ่งบอกต้นชีวิต

หมาย ถึงชาติกำเนิด ลักษณะของใบหูที่ดีต้องมีเนื้ออิ่มเต็ม มีวงขอบหูที่แบ่งด้านในกับด้านนอกเป็นสัดส่วนชัดเจน ติ่งหูมีเนื้ออิ่มเต็ม มีกระบังหูและรูหูไร้ตำหนิ นี่แสดงว่ามีชาติตระกูลดี ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว คนที่มีหูแนบไปกับใบหน้าจะเป็นคนที่จริงจัง วางแผนด้านการเงินดี ติดโลภไปบ้าง แต่ดีกว่าคนหูกางและบางซึ่งเก็บเงินไม่อยู่ (หากหูกางแต่หนาก็ถือเป็นหูที่ดี) ส่วนคนที่มีใบหูยาวเท่ากับคิ้วจนถึงปลายจมูกพอดีถือว่าเป็นใบหูแห่งโชคลาภ ส่วนติ่งหูถือเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักและกามารมณ์มากที่สุด คนที่มีติ่งหูเนื้ออิ่มเต็มเป็นสัญลักษณ์ว่ารักความโรแมนติก เจ้าชู้ ส่วนติ่งหูหนาใหญ่แสดงถึงพลังทางเพศที่สูงและเจ้าชู้เช่นกัน

จมูก ชี้ชัดเรื่องความรัก

ดั้ง จมูก แทนอำนาจ การงาน ปลายจมูกแทนการเงิน ส่วนปล้องตรงกลางจมูกแทนความรัก ทั้งสามส่วนรวมกันเรียกว่าสันจมูก หากสันจมูกตรงนั้นหมายถึงเจ้าตัวมีวาสนา ได้คู่ดี หรืออาจได้คู่ รวย สวย หล่อ คนที่มองไม่เห็นรูจมูกนั้น แสดงว่าตระหนี่ถี่เหนียว หากจมูกงองุ้มเข้าไปแปลว่าเป็นคนหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นทองกลับกัน คนที่เรามองหน้าและเห็นรูจมูกได้ชัดเจน จมูกเป็นกระดูกไม่สมส่วนกับใบหน้าจะชี้ว่าไม่รอบคอบด้านการเงิน หากมีไฝแดงอยู่ที่ปล้องจมูกจะช่วยส่งเสริมในด้านความรักกับเพศตรงข้าม

ปาก กองประชาสัมพันธ์

ปากคือตัวแทนด้านสติปัญญา ในการดูโหงวเฮ้งเกี่ยวกับปากจะดูลักษณะสามประการ ได้แก่ น้ำเสียง รูปปาก และฟัน

น้ำเสียง

ผู้ชาย เป็นเพศที่เสียงสำคัญมาก เพราะเสียงคือพลังในการต่อสู้ชีวิตและบ่งบอกถึงสุขภาพภายใน สำหรับผู้ชายที่ต้องเป็นช้างเท้าหน้านั้น เสียงควรกังวาน สดใส พูดจาไม่กรรโชก และไม่ควรมีเสียงแตกพร่าซึ่งชี้ว่าสุขภาพไม่ดี ส่วนผู้ชายที่เสียงเหมือนผู้หญิงก็จะมีชะตาชีวิตที่ไม่ดีเช่นกัน เสียงที่ดีต้องฟังได้ศัพท์จับได้ความ ไม่ใช่เสียงอู้อี้ หรือเสียงที่ไม่แสดงความชัดเจนออกมา

รูปปาก

เสมือน กองประชาสัมพันธ์ การดูปากสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ปากที่ดีจะเป็นรูปกระชับและมีหยักตรงกลาง มุมปากช้อนขึ้น ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นคนมุมปากตก นั่นอาจเป็นเพราะเขามองโลกในแง่ลบ ชอบพูดให้คนอื่นเสียหาย หรือพูดนินทาส่อเสียดให้ร้าย ในขณะที่ผู้มีปิยวาจาดีมักจะมีรูปปากสวย

ฟัน

หาก เราอยากรู้ว่าหนุ่มคนนี้ จะมีการเงินที่ดีไปถึงบั้นปลายชีวิตรึเปล่าต้องดูที่ฟัน ผู้ชายที่มีฟันดี เรียงกันเป็นระเบียบเหมือนเม็ดข้าวโพด ไม่เก ไม่หลอ แสดงว่ามีระเบียบวินัยทางการเงิน จัดแจงเก็บเงินได้ เพราะแม้ว่าผู้หญิงสมัยนี้จะไม่รอให้ผู้ชายเลี้ยง แต่อย่างน้อยเค้าก็ต้องไม่เบียดเบียนคนรัก

คิ้ว ม่านของดวงตา

ดวง ตา หมายถึงพระจันทร์ และคิ้วก็คือเมฆซึ่งต้องดูโหงวเฮ้งคู่กับดวงตา ถ้าตาโตคิ้วก็ต้องหนา หรือหากตาเล็กและคิ้วหนา หรือตาโตแต่คิ้วบาง ก็คือไม่สมดุลไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง หากคิ้วไม่สมดุลก็จะบ่งบอกถึง การควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใจร้อน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

ดวงตา หน้าต่างของจิตใจ

ดวง ตาที่ดีที่สุดจะต้องเป็นตาที่ดูมีเมตตา เป็นมิตรกับผู้อื่น ส่วนอันดับสองคือตายิ้มหรือตารับแขก ในขณะที่บางคนอาจเป็นตรงกันข้ามคือมีแววตาเป็นศัตรูกับผู้อื่นคนกลุ่มนี้นอก จากปากจะไม่ยิ้มแล้ว ยังมองผู้อื่นแบบไม่เป็นมิตร มองด้วยความสงสัย หรือเป็นคนที่ใช้ปลาย หางตามองคน ส่วนตาที่ไม่ซื่อสัตย์ เวลาคุยด้วยแล้ว มักจะไม่มองตา หลบสายตา หรือลอกแลก

กลุ่ม ดวงตาของคนเจ้าชู้ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นคนที่มีดวงตาหวานซึ้ง ตาเซ็กซี่ และตาง่วงนอน แม้ว่าตาเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าไม่ดี แต่บ่งบอกถึงความมีเสน่ห์กับเพศตรงกันข้าม อย่างที่เราสังเกตได้ว่าเรามักจะเห็นคนตาหวานหล่อหรือสวย ทั้งที่นี่คือดวงตาของคนที่ ไม่รู้จักพอในเรื่องความรัก รักง่ายหน่ายเร็ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ส่วนหางตาหมายถึงพลังทางเพศสูงไฝในบริเวณนี้จะเสริมด้านความรัก ถ้าเป็นผู้หญิงก็มีแนวโน้มจะได้คนรักเด็กกว่า

ส่วน ผู้ชายจะเป็นคนเจ้าชู้มาก นอกจากอุปนิสัยแล้ว แววตายังสื่อถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน หากคนที่เราคุยด้วยมีแววตาเปลี่ยนแปลงหลายอารมณ์ นั่นคือเค้าไม่สามารถควบคุมจิต พอจิตใจไม่นิ่งก็จะควบคุมชะตาตัวเองไม่ได้ เพราะตาคือประตูของชีวิต

อย่าง ไรก็ดี แววตาที่บ่งบอกเรื่องอารมณ์ก็เป็นแขนงหนึ่ง ความจริงก็คือคุณไม่สามารถแก้แววตาได้ เพราะพันธุกรรมและกันบึ้งของจิตใต้คุณเป็นตัวกำหนด

องค์ประกอบอื่น ๆ ที่สามารถร่วมได้

รูปร่าง

หาก มีหน้าใหญ่ ตัวต้องโต ขา แขน มือ เท้า และลำคอก็ต้องใหญ่ คือให้ใหญ่สมส่วน ผู้ชายร่างเล็กก็ไม่เป็นไรหากมีรูปร่างสมส่วน เช่น ถ้าผู้ชายเตี้ย หน้าต้องกลม คอสั้น นิ้วมือนิ้วเท้าสั้นและป้อมเหมือนนิ้วเด็ก อันนี้จะเป็นลักษณะของผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ เพราะความสมดุลนั้นบ่งบอกถึงการควบคุม อารมณ์ และจิตใจ อย่างเช่น เสมอต้นเสมอปลาย เคยขยันอย่างไรก็ยังขยันอยู่อย่างนั้น มีระเบียบวินัยในการทำงานและการเก็บเงินด้วย

หน้าผาก

หน้า ผากจะบ่งบอกถึงสติปัญญา ผู้ชายต้องมีหน้าผากกว้าง เพราะจะแสดงว่ามีความเป็นผู้นำของครอบครัว กว้างในที่นี้คือเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ เหมือนกับที่เรียกว่าหัวเถิก ซึ่งจริง ๆ แล้วผู้ชายยิ่งเถิกยิ่งดี ซึ่งเขาควรเปิดหน้าผากเอาไว้รับโชคทางด้านการงาน

ใน ทางกลับกัน ผู้หญิงที่หน้าผากกว้างจะเป็นผู้หญิงที่ต้องแบกภาระ เป็นช้างเท้าหน้า ต้องเหนื่อยไปตลอดชีวิต กลุ่มนี้ควรจะแต่งงานหลังจากที่อายุ 30 ไปแล้ว เพราะมักจะมีความคิดอ่านเหมือนผู้ชายและมีความกระด้างอยู่ในตัว เชื่อมั่นในตัวเองสูง โอกาสหย่าร้างจึงสูงตาม คืออาจจะเก่งในเรื่องการทำงานแต่ไม่ฉลาดเรื่องการครองเรือนจึงมักจะไม่สม หวังด้านความรัก ต้องรอให้อายุมากขึ้น เพื่อจิตใจจะได้พร้อม หรือไม่ก็ควรไว้ทรงผมแบบปิดหน้าผาก

ผิว

ไม่ เกี่ยวกับสีผิว แต่ต้องดูที่ความขรุขระของผิว ผู้ชายที่มีผิวขรุขระมักจะเป็นคนที่เข้มแข็ง สู้ชีวิต ขยัน กล้าสู้กับความยากลำบาก ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่ผิวเนียนอิ่มเอิบดูแล้วสบายตา เหมือนผู้หญิง เขาจะชอบออดอ้อนฉอเลาะ ไม่เป็นผู้นำครอบครัว และอาจกลายเป็นลูกแหง่ของเราแทน

ผู้ชาย ควรจะมีเอกลักษณ์แบบผู้ชาย แต่หนุ่ม ๆ สมัยนี้เปลี่ยนไป เรียกได้จะเป็นตุ๊ด ก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง พอเป็นเช่นนี้วิถีชีวิตของเค้าก็จะเปลี่ยนเพราะหยินหยางที่อยู่ในร่างกายไม่ มีความสมดุล ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้

สาว ๆ ที่อยากเลือกคู่ ตามตำราโหงวเฮ้งบอกว่า บวกกับบวกอาจกลายเป็นลบ และลบกับลบอาจกลายเป็นบวกได้ ผู้ชายหล่อไม่ได้แปลว่าเขามีน้ำใจ ส่วนผู้ชายที่ไม่หล่อแต่รู้จักทำมาหากินอาจจะไม่สร้างความกลุ้มใจกับแฟนหรือ คนรักเลยก็ได้




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons