วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

อยู่ได้ไหม... ถ้าไม่แต่งงาน

อยู่ได้ไหม... ถ้าไม่แต่งงาน

มีหลายคนชักสงสัยว่า "ทำไมทุกคนต้องมีแฟน?"..."ไม่มีแฟน จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ไหม?"
คนที่ถามส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นคนที่ยังไม่มีแฟน หรือมีแล้วแต่อกหัก เลิกกันไปแล้ว กำลังอยู่ในช่วงทำใจ แต่ก็ยังคิดมากอยู่ เหมือนพยายามใช้ชีวิตอยู่ให้ได้โดยปราศจากเขา
สำหรับคนที่ยังไม่มีแฟน แล้วมองเห็นคู่รักผ่านสายตาไปหลาย ๆ คู่ ข้อสงสัยนี้มักเกิดจาก อาการอิจฉาริษยาเขา ในใจลึก ๆ ก็อยากมีกับเขาบ้าง แต่ไม่มี ก็เลยพยายามคิดว่า ถ้าเกิดเราไม่มีแฟน เราควรจะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ แต่จะอยู่ยังไง แก่ไปจะเป็นยังไง จริง ๆ แล้วอยู่ได้จริงหรือไม่ นั่นคืออาการไม่แน่ใจ ลังเลใจ
ถ้าถามฉัน แล้วฉันตอบว่า "อยู่ได้" หลายคนก็อาจจะคิดว่า มันเป็นการปลอบใจชัด ๆ เหมือนให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราก็มีความสุขดีอยู่นี่ ใช้ชีวิตให้สุขกับสิ่งอื่นได้อีกถมเถไป ครอบครัว การงาน เพื่อนฝูง หรือมีความสุขกับการท่องเที่ยว งานอดิเรก สัตว์เลี้ยงต้นไม้ มันก็มีความสุขอยู่ในแต่ละวันได้ แม้จะเป็นรักที่ต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงอนาคตไกล ๆ ล่ะ
ถ้าถามฉัน แล้วฉันตอบว่า "อยู่ได้...แต่อย่าไปคิดมาก อย่าเห็นคนอื่นมีครอบครัวแล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเองแล้ทุกข์ อย่าเหงา...แล้วจะอยู่ได้" คงมีคนขำ และถ่มน้ำลายใส่ฉัน "ใครจะไปทำอย่างนั้นได้วะ? ไม่ใช่พระใช่ชีนี่ ถึงทำใจได้ มันก็ต้องคิดกันบ้างล่ะ" นี่แหละ...คือคำตอบของปัญหาข้างบน
"อาการอยู่ได้หรือไม่? มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำตอบของฉันหรอกนะ มันขึ้นอยู่กันว่า คุณเข้าใจตัวเองมากน้อยแค่ไหน? คุณทำใจ และคุณมั่นใจในสิ่งที่คุณเป็นมากน้อยแค่ไหนต่างหาก จะอยู่ได้หรือไม่? ต้องถามใจคุณดู"
Portrait of young coupleถ้าคุณเชื่อในตัวเอง มั่นคงในตัวเอง ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไม่ใช้ชีวิตโดยยึดติดกับมาตรฐานสังคมมากนัก คุณก็ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ขอเพียงคุณยอมรับได้ในสภาพที่คุณเป็นอยู่ แน่นอนว่า...เมื่อผ่านพ้นวัยหนึ่งไปแล้ว อะไรหลาย ๆ อย่างที่คุณเคยมีเวลาทุ่มเทให้มัน มันจะหายไป คุณต้องเผื่อใจไปกับการวางแผนว่า...เมื่อช่วงเวลาเหล่านั้นเกิดช่องว่าง
คุณจะทำอะไร? เช่น ช่วงเวลาที่คุณเคยมีกิจกรรมกับเพื่อน ๆ วันหนึ่ง เพื่อนคุณก็จะมีครอบครัวกันไป หรอกงานอดิเรกบางอย่าง คุณก็จะไม่สามารถทำมันได้อีก ในวัยที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย คุณจะใช้เวลาเหล่านี้ทำอะไร ช่วงเวลาที่ครอบครัวสุขสันต์ คุณจะอยู่กับอะไรได้บ้าง ต่อให้คุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวใคร คุณก็ไม่สามารถเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาได้อย่างสมบูรณ์ พี่น้องคุณก็ต้องมีครอบครัวของเขา พ่อแม่คุณวันหนึ่งเขาก็ต้องจากคุณไป คุณจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร และอยู่อย่างไร นี่คือสิ่งที่คุณต้องคิด
ถ้าคุณมีการวางแผนและมีคำตอบให้ตัวคุณเอง คุณก็ไม่ต้องกลัวเหงา มันมีบ้างที่เรารู้สึกโดดเดี่ยว แต่ถ้าคุณยังมีความสุขกับสิ่งรอบข้างและตัวคุณเองอยู่ มันจะสามารถทดแทนกันได้ แม้จะไม่สมบูรณ์เสียทีเดียวก็ตาม เพราะความรักในแต่ละรูปแบบ มันต่างการกระทำเสมอ มันไม่สามารถแทนกันได้จริง แต่มันสร้างกำลังใจให้ชีวิตได้เหมือนกัน ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากพอ
ฉันไม่อยากได้คำตอบว่า "อยู่ได้" ของฉัน ทำให้หลาย ๆ คนมองข้ามความรัก จากใครบางคนไป เพราะถึงยังไง ฉันก็ยังถือว่า..."การมีชีวิตคู่ มันมีความอิ่มเอมกว่าอยู่ดี" ไม่เช่นนั้น... ทำไมมนุษย์ถึงต้องมีสองเพศ? และการถือกำเนิดชีวิตใหม่...ถึงต้องใช้คนสองคน? (ตอนนี้มีหลายเพศ แต่เรากำลังพูดถึงการแต่งงาน จึงขอละไว้ก่อนนะ)
ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย หลายคนเมื่อเจอปัญหาคู่ของคนอื่น ก็มักจะเปรย ๆ กับตัวเองว่า "ไม่แต่งดีกว่าปัญหาเยอะ" หรือไม่ก็ประเภทที่แต่งไปแล้วมีปัญหา ก็มักจะบ่น ๆ ว่า "รู้อย่างนี้เป็นโสดจนตายดีกว่า" ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ ฉันว่ายังไงเขาก็ยังเลือกที่จะแต่งงานอยู่ดี!
การได้ใช้ชีวิตร่วมกับใครอีกคน ซึ่งถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราในตอนแรก เพราะเราไม่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด มันเป็นสีสันหนึ่งของชีวิต มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าสงสัยสำหรับชีวิตมนุษย์ ต่อให้มีความทุกข์ หรือปัญหาเกิดขึ้น มันจะทำให้ชีวิตมีมิติมากขึ้น มีความลึก มีการเรียนรู้ มีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลง จะเป็นด้านบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวของแต่ละคู่ ว่าจะจัดการกับเรื่องของตัวเองยังไง?
มันเหมือนกับการเล่นเกม หลายคนชอบเพราะอยากเอาชนะมัน เมื่อเล่นแล้วก็ต้องเล่นให้ชนะ ชีวิตถูกส่งมาให้เราเล่นต่างกันตรงต้องคิดให้มากขึ้นกว่าเกมปกติ เพราะเล่นใหม่ไม่ได้ คงต้องไปเกิดใหม่ ตัวเราเป็นตัวเดินเรื่อง มันคงจะดีถ้าเรามีผู้ช่วยเก่งๆ มาช่วยเราใช้ชีวิต บางคนเลือกผิด ทำชีวิตเราพังก็มีบางคนเลือกถูก ก็พาชีวิตเราเดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ทุกคนล้วนถูกส่งผู้ช่วยมาให้เลือกกัน ทั้งนั้น ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ขัง คนที่มักพูดว่า "เดินคนเดียวดีกว่า" จริง ๆ แล้วเขาก็เลือก แต่ดันเลือกผิด คงไม่มีใครหรอกที่มีให้เลือกแล้วไม่เลือก ส่วนคนที่บอกว่า "ฉันไม่เห็นได้เลือกเลย ไม่เห็นเขาส่งใครมาให้ฉัน"
ถ้าคุณมองให้ดี ๆ ลองทบทวนอีกที อาจจะมีบางช่วงเสี้ยววินาทีที่คุณเดินอยู่ มีใครบางคนที่คุณคิดว่าไม่น่าไว้ใจผ่านมา คุณแค่ประเมินด้วยหางตา แล้วคุณก็รีบเดินห่าง ๆ หรือรีบผ่านเขาไป โดยไม่กล้าแม้จะเหล่ตามอง ได้เฉียดใกล้เขาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ คนคนนั้น อาจเป็นอัศวินขี่ม้าขาว ที่จะช่วยคุณออกมาจากถ้ำมังกร ถ้าเพียงคุณให้เวลากับเขามากกว่านี้
อย่าบอกนะว่า...คุณไม่เคยเดินสวนกับใคร มาก่อนเลยในชีวิต!

หนังสือ : ชีวิต...เราเอาไงดี?
เขียนโดย : ว.แหวน




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons