วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

จะทำอย่างไร เมื่อเขานอกใจ

จะทำอย่างไร เมื่อเขานอกใจ

ความรัก

จะทำอย่างไร @ เมื่อเขานอกใจ (แม่บ้าน)
เรื่อง : รศ.สุพัตรา สุภาพ
การนอกใจกันเป็นเรื่องทำให้ครอบครัวแตกแยกล่มสลายได้ จนยากที่จะทำใจแผ่เมตตาให้อภัยกันง่าย ๆ เพราะเมื่อรู้ว่าคู่ของเรามีคนอื่น ก็ต้องโกรธแค้นแทบจะฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง (ถ้าไม่กลัวติดคุกจนแทบเป็นบ้า) ส่วนมากพอรู้ว่าเขาเป็นอื่น จะบอกว่า "รับไม่ได้ ทนไม่ไหว"
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องชีวิตคู่ให้ข้อคิดเรื่องนอกใจกัน (ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง) อย่างน่าทึ่งว่า…
1. มีนอกใจกันบ้าง
และคนนอกใจมักจะเป็นชายมากกว่าหญิง ผลก็คือผู้หญิงกลัวเขาจะนอกใจ บางคนเลยคอยตามล่าตามล้างกลัวเขาเป็นอื่น พอหวงห่วงห้อยตามเขามาก ๆ เขาเลยเป็นอื่นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดมีอะไรกับใคร
2. ต้องรับรู้
แม้จะไม่อยากรู้ หรือทำใจไม่ได้ก็ตาม ก็คนเป็นผัวเมียกันมักจะพอดูออกว่าเขาเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไป เช่น เคยสนใจเราก็ไม่ใส่ใจเท่าที่เคย จนเราหงุดหงิดโมโหโกรธาเอาง่าย ๆ หรือเขาดูดีผิดปกติ (ก็คงพยายามปกปิดที่ไปมีกิ๊กนั่นแหละ) ให้เราตายใจ
Dr.Frank S.Pittman นักจิตวิทยาชื่อดังเตือนใจผู้เป็นภรรยาว่า ถ้าผู้ชายมีอาการแปลก ๆ (ไม่ได้แปลว่าบ้า) แถมไม่ค่อยพูด ทั้ง ๆ ที่เคยพูดอะไรให้ฟังบ่อย ๆ ซึ่งที่เป็นเช่นนี้เขาอาจกลุ้มใจเรื่องงาน เลยหาทางชดเชยไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน จนอยากฟาดฟันให้เดี้ยงกันไปข้างหนึ่ง หรือภรรยานอกใจสามีอาจจะอยากหาคนมาเอาใจ เพราะไม่ได้จากที่บ้าน
Dr.Pittman บอกว่า น่าจะให้อภัยมากกว่าคับแค้น โดยคนนอกใจต้องขอให้คู่ให้อภัย แม้จะทำใจยากก็ควรจะทำถ้ายังอยากอยู่ด้วยกันต่อไป หรือไปหาผู้เชี่ยวชาญช่วยแก้ปัญหาให้เท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้คาราคาซัง โดยเฉพาะถ้าเราเป็นคนผิด
3. ไม่จำเป็นต้องเลิกกันเสมอไป
เลิกทำไมให้คนอื่นดีใจเปล่า ๆ คิดแก้แค้นแม้จะสะใจแต่ใช่ว่าเป็นสิ่งดีเสมอไป การหย่าร้างเลิกรากันอาจเป็นทางแก้ปัญหาที่ไม่เคยแก้ได้ก็ได้
Dr.Harold Taylor นักจิตวิทยาชื่อดังเสริมในเรื่องนี้ว่า สามีภรรยาควรจับเข่าคุยกัน (กลัวคุยไม่ไหวเพราะอยากหักเข่ากันมากกว่า) เป็นการคุยว่าเรื่องเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรถึงจะไม่มีปัญหาในอนาคต นี่คือโอกาสที่คุยกันได้
4. ยังรัก
ส่วนมากคนที่นอกใจมักจะรักคู่ของตัวน้อยลง หรือเริ่มไม่รักเขาหรือเธอแล้ว แต่มีเหมือนกันที่ยังรักกันอยู่แต่อดเจ้าชู้หรือหาเศษหาเลยไม่ได้ให้เจ็บปวดกัน เรื่องนี้มีคำพังเพยว่า คนเราจะรักคนสองคนในเวลาเดียวกันได้ เพราะตอนนั้นกำลังหลงอีกคน แต่ยังห่วงใยและรักคู่ของตัวอยู่
Dr.Avodah K.Offit นักจิตวิทยากล่าวว่า จากที่เขาศึกษาวิจัยมาพบว่า สามีภรรยาที่นอกใจกัน รวมทั้งพวกเจ้าชู้เป็นนิสัย ก็ยังผูกพันครอบครัวไม่อยากเลิกรากันไป ที่เขานอกใจเป็นแค่อาการชดเชยทางอารมณ์ที่มีปัญหาค้างคาใจแต่เด็ก เช่น พ่อแม่เข้มงวดคอยสั่งให้ทำอะไรอยู่เรื่อย พอมีคู่เลยพยายามไม่ให้คู่มามีอิทธิพลเหนือตัว และการนอกใจจึงเป็นเครื่องแสดงว่า "ชีวิตเป็นของเรา เราเป็นเจ้าชีวิตของเราเอง"
อีกฝ่ายเลยอยากฆ่าให้หายแค้น ก็ขนาดไม่ได้มีใครมาบังคับอะไรมากนักก็ยังนอกใจได้ ที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะภรรยาน้อยไม่เรียกร้องอะไรหรือมีกฎเกณฑ์อะไรมากเท่าภรรยาหลวง หากภรรยาน้อยมีกฎเกณฑ์มากเท่าไร เขาก็จะตีตัวออกห่างเพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าเมียน้อยเริ่มเป็นเมียหลวงเข้าไปทุกที
5. หันมาดูตัวเอง
นักสังคมวิทยาและนักจิตวิทยาแนะนำว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่อาจจะทำให้เราไม่สบายใจ เราต้องทำใจกว้าง ๆ ประดุจถนนสายมหึมา ที่เขาเป็นอย่างนั้นเป็นความผิดของใคร เราหรือเขา ส่วนมากคนเจ้าชู้จะคิดว่า ภรรยาแย่เขาถึงเป็นอื่น ถ้าเขาคิดแบบนี้เขาจะไม่รู้สึกผิดและนอกใจไปเรื่อย ๆ (น่าฆ่าให้ตายเป็นของแถม)
นอกจากนี้ การนอกใจมีสาเหตุมากจากการหวังเกินความเป็นจริง เพราะไปคิดว่าการมีคู่คือหลักประกันความสุข หากวันไหนไม่มีความสุขก็จะกล่าวโทษอีกฝ่าย
6. เปลี่ยนบรรยากาศ
เป็นการหาทางไปให้พ้นจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่น่าหดหู่ เช่น ไปเที่ยวตามลำพังเพื่อรำลึกความหลังครั้งยังหวานชื่น ชีวิตจะได้ดีขึ้น รวมทั้งเวลามีปัญหาต้องอดทนที่จะแก้อย่างจริงใจ โดยไม่คิดแต่เอาชนะคะคาน หรือห้ำหั่นกันให้เสียหาย เป็นการยอมรับ เป็นการทำใจให้อภัย แม้อยากจะด่าหรือต่อว่าให้หายคาใจ แต่ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกันก็คงต้องแผ่เมตตาให้อภัยเพื่อจะได้เริ่มต้นกันใหม่ เพราะนี่คืออุบัติเหตุชีวิตที่เกิดขึ้นได้ ขอแค่มีใจต่อกันที่จะร่วมกันแก้ไข
Maslow ให้ข้อคิดเรื่องปัญหาในครอบครัวว่า การนอกใจกัน จะให้หายง่าย ๆ คงยาก ขอแค่พยายาม (กัดฟัน) ทำใจเรื่องที่เขานอกใจคงจะดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน (นานไปไหม) และส่วนมากมักจะเอาใจกันมากกว่าเก่า โดยเฉพาะคนที่นอกใจ เช่น ซื้อข้าวของให้ พาไปเที่ยว ออกไปกินอาหารนอกบ้าน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คนที่นอกใจต้องรู้จักทำตัวให้ดีขึ้น เพื่อเห็นแก่ครอบครัวและตัวเองจะได้ไม่ต้องมีอันเป็นไปก็เข้าทาง อย่าทำตัวเจ้าชู้ไม่มี พ.ศ. ซ้ำซากไง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 35 ฉบับที่ 506 กรกฎาคม 2554




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons