วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รูปเล่าประวัติศาสตร์ รวมภาพถ่ายยุคการปฏิวัติซินไฮ่

กองร้อยเบงกอล แลนเซอร์สเป็นขบวนคุ้มกันเคานต์ วอลเดอร์ซี หรืออัลเฟร็ด กราฟ ฟอน วอลเดอร์ซี (1832-1904) ในฐานะหัวหน้าคณะเสนาธิการแห่งจักรวรรดิเยอรมนี เมื่อเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งเบื้องหน้าประตูอู่เหมินเมื่อวันที่ 17 ต.ค.1900

ไชน่าเดลี - หลิว เซียงเฉิง ใช้เวลาเดินทางไปในหลายประเทศ เพื่อติดตามค้นหาอยู่นานถึงหนึ่งปีทีเดียว กว่าจะได้ภาพถ่ายต้นฉบับสำหรับหนังสือรวมภาพถ่ายแต่ครั้งสมัยการปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งมีชื่อว่า “ China in Revolution : The Road to 1911” (จีนในสมัยการปฏิวัติ : เส้นทางสู่ปีค.ศ.1911) หนังสือรวมภาพถ่ายเล่มล่าสุด ที่เขาบรรจงทำขึ้น เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 100 แห่งการปฏิวัติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช 2454 อันเป็นการสิ้นสุดการปกครองของฮ่องเต้ ที่ยาวนานมาหลายพันปี

ทหารฝ่ายปฏวัติเตรียมยิงปืนใหญ่ต่อสู้กับกองทัพจักรพรรดิในเมืองฮั่นโข่ว,ต.ค.1911

หน้าปกของหนังสือเล่มนี้เป็นภาพถ่ายของนายทหารแห่งขุนศึกภาคเหนือ (หรือกองทัพสมัยใหม่ของราชวงศ์ชิง) ซึ่งหาแทบไม่ได้แล้ว ผู้ช่วยของหลิวสืบเสาะ จนทราบว่าเป็นผลงานของคุณพ่อเลโอน นานี (Leone Nani) บาทหลวงนิกายคาทอลิก ซึ่งถ่ายในช่วงปี 1904-1914 (พ.ศ. 2447-2457) ในมณฑลส่านซี เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปยังสถาบันการเผยแพร่ศาสนาในต่างประเทศแห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Institute of Foreign Missions) อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งได้มา

โรงผิ่นในเมืองชิงเต่าช่วงปี 1890-1910

เมื่อล่วงมาหนึ่งศตวรรษ หลิวจึงคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องค้นหาภาพถ่าย ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ และถ่ายทอดความลำบากทุกข์ยากในอดีต ที่จีนเคยประสบมาให้แก่คนรุ่นหนุ่มสาวได้รับรู้

มิสชันนารีหญิงนั่งเกี้ยวหามในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝู่เจี้ยน ปี 1894

“เรามองประวัติศาสตร์อย่างไรย่อมมีอิทธิพลต่อการมองปัจจุบัน และมีอิทธิพลต่อการที่คนอื่นมองเราว่าอย่างไรบ้างด้วย” หลิวระบุ
“ชาวจีนไม่ใช่เหยื่อของประวัติศาสตร์อีกแล้ว เราควรก้าวต่อไป และเผชิญกับอดีตด้วยการพิจารณาอย่างสุขุมและมีเหตุผล” เขากล่าว

สหรัฐฯ ให้การรับรองสาธารณรัฐจีน ภาพถ่ายหมู่มีหยวน ซื่อไข่ (แถวหน้าที่ 3 จากซ้าย) และเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนถ่ายรูปร่วมกับวิลเลี่ยม เจมส์ คัลฮูน รัฐมนตรีแห่งสหรัฐฯ (ถัดจากหยวน) วันที่ 2 พ.ค.1913 หยวนยังสวมเครื่องแบบนายพลเอกของราชวงศ์ชิง

หลิว วัย 60 ปีเป็นนักถ่ายภาพ ซึ่งมีรางวัลพูลิตเซอร์การันตีความสามารถด้วยผลงานเด่น ๆ เช่นภาพถ่ายของประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ขณะลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2534 อันเป็นเครื่องหมายการจบสิ้นของสหภาพโซเวียต และหนังสือรวมภาพถ่าย 3 เล่ม เล่มหนึ่งได้แก่ “China after Mao” และ “China, Portrait of a Country” เล่มนี้จำหน่ายได้มากกว่า 2 แสน 5 หมื่นเล่ม
สำหรับหนังสือเล่มล่าสุด รวบรวมภาพถ่ายกว่า 900 ภาพจากทั้งหมดกว่า 1 หมื่นภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เขาได้ตรวจสอบด้วยตนเองทั้งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และการสะสมส่วนบุคคลในหลายทวีป
หลิวคัดเลือกภาพ โดยดูจากคุณค่าเชิงเทคนิคการถ่าย และการสื่อเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ จากนั้น หลิวและคณะทำงานจัดการซ่อมแซมภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่นานราว 1,000 ชั่วโมง และเรียงลำดับภาพตามวันเวลาเกือบทั้งหมด พร้อมบทความประกอบ 4 บท
ในจำนวน 900 ภาพนี้ มี 300 ภาพ ไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ ที่ไหนมาก่อน เช่นภาพของโฮเมอร์ ลี ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ฝึกกองทัพสมัยใหม่ในปี 1904 (พ.ศ. 2447)
นอกจากนั้น ภาพถ่ายอีกมากมายเป็นภาพการดำเนินชีวิตประจำวันของสามัญชนทั่วไปเมื่อสมัยปี 1850 (พ.ศ.2393) - 1928 (พ.ศ.2471) ส่วนใหญ่บันทึกภาพโดยบาทหลวง นักธุรกิจ นักการทูต และนักเดินทาง
ผู้อ่านจะได้เห็นลักษณะการแต่งตัวของผู้คนในยุคนั้น การแต่งงาน ภาพชีวิตในตลาด หรือแม้กระทั่งภาพความตายบนลานประหาร ตลอดจนภาพถ่าย ที่แสดงให้เห็นถึงการสั่งสมพลังในการปฏิวัติ และผล ที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติ
“ผมต้องการถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตไม่เฉพาะแค่เกี่ยวกับบุคคลมีชื่อเสียง 1,000 คนในเวลานั้น แต่เกี่ยวกับประชากร ที่มีอยู่ราว 400 ล้านคน” หลิวอธิบาย
หนังสือ “ China in Revolution : The Road to 1911” ซึ่งถ่ายทอดด้วยภาษาอังกฤษ ได้รับคำชมเชยจากนักประวัติศาสตร์หลายคน เช่นเบ็ท แม็กคิลลอป แห่งวิกทอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต มิวเซียมของสหราชอาณาจักรทั้งในแง่ฝีไม้ลายมือ การทำงานอย่างทุ่มเทของหลิว และในแง่ที่การปฏิวัติซินไฮ่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน

หลิว เซียงเฉิง กับหนังสือเล่มล่าสุด “ China in Revolution : The Road to 1911”

ทำไมถึงทำกับฉันได้- เติ้งลี่จวิน




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons