๒.๑.๒ ลักษณะทางเนื้อหา
คำผญาภาษิต คือคำสอนที่แฝงคติธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำไพเราะสละสลวยรัดกุม บางครั้งเรียก ผญาก้อม มีนัยเชิงเปรียบเป็นอุปมาอุปไมย เพื่อให้ผู้ฟังหรืออ่านตีความหมายเองเองเช่นเดียวกับคำสุภาษิตภาคกลาง ซึ่งผู้ที่ได้ยินได้ฟังสามารถนำไปประพฤติในทางดีงามหรือที่ถูกที่ควรได้ ดังตัวอย่างนี้ “ ทุกข์ยากไฮ้ขอขอดแลงงาย อย่าสุลืมคำสัตย์เที่ยงจริงคำมั่น” ( ทุกข์ยากไร้เพียงใดก็อย่าลืมคำสัตย์ คำจริง คำมั่นสัญญา)
การสอนคนให้รู้จักรักษาคำมั่นสัญญาถือว่าเป็นคุณธรรมสูงสุดที่มนุษย์ควรใส่ใจเพราะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าคนจะต้องสัมพันธ์ต่อกันทั้งในระดับปัจเจกชนหรือระดับมหาชน คำสัตย์ย่อมเป็นฐานรับรองว่าเป็นคนดีที่สังคมต้องการ ส่วนความลำบากที่เกิดเพราะความขาดแคลนอาหารนั้นยังพอทนได้ สุภาษิตนี้เน้นให้เห็นถึงความชื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเป็นหลักการและวิธีการต่างๆที่ช่วยให้ชุมชนชาวอีสานมีคุณธรรมและจริยธรรมเพิ่มมากขึ้น ตลอดถึงให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ และ มุ่งแนะนำชาวบ้านอยู่กันด้วยความรักสามัคคีต่อกันไม่เบียดเบียนน พร่ำสอนให้ชาวบ้านรู้จักการเสียสละมีเมตตาต่อกันเว้นจากการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ส่งเสริมระบบสังคมสงเคราะห์ให้คนอยู่ด้วยกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่ไม่เอาเปรียบกันและกัน การช่วยเหลือกัน การพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าชายหรือหญิง ไพร่ผู้ดีมีหรือจนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน คนรวยก็ช่วยเหลือคนจนด้วยการแบ่งปัน ผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือเด็กด้วยการคุ้มครองป้องกัน ท่านอุปมาไว้เหมือนดังน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดังคำกลอนดังนี้คือ
มวงพี่น้อง ต้องเพิ่งพากัน คราวเป็นตาย ช่วยกันปองป้าน
ยามมีให้ ปุนปันแจกแบ่ง คราวทุกข์ใฮ้ ปุนป้องช่วยปอง
เทียมดังดงป่าไม้ ได้เพิ่งยังเสือ คนบ่ไปฟังตัด คอบเสือเขาย้าน
เสือก็อาศัยไม้ ในดงคอนป่า ฝูงหมู่คนบ่ฆ่า เสือได้คอบดง203
เนื้อหาแห่งคำสุภาษิตอีสานที่มุ่งจะสอนให้ชาวอีสานนั้นเข้าใจชีวิตว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่อยู่ในอำนาจของบุคคลใด คือมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งธรรมดา พร้อมทั้งสอนให้รู้จักทำช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ ความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านในการทำงานและให้รู้จักอดอ้อมทรัพย์ไว้ใช้ในคราวจำเป็น เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน ให้รู้จักการผูกมิตรไมตรีต่อกันจะได้เป็นเกาะป้องกันความเสื่อมด้วยและจะได้ช่วยกันในยามทุกข์ สั่งสอนให้รู้จักทำงานอย่ารอคอยโชควาสนา ความมั่งมีหรือยากจนนั้น ความรวยหรือจนนั้นเป็นของกลางๆไม่เป็นของใครโดยตรงอยู่ที่ว่าใครจะนำเอาโอกาสนั้นๆมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเอง ดังคำกลอนดังนี้คือ
อันหนึ่งครั้นอยู่บ้าน หรือถิ่นแดนใด ครั้นเฮาทำความดี โชคชัยมีหั้น
ครั้นเฮาหนีจากบ้าน ไปเนาในอื่น ครั้นเฮาฮีบก่อสร้าง ชัยนั้นแล่นเถิง
ส่วนว่าคนขี้คร้าน แม้นอยู่ในใด เถิงจักนอนกองเงิน ช่างตามคำแล้ว
มื้อหนึ่งเขาจักต้อง หากินดอมไก่ แลเล่านอนสาดเหี้ยน เม็นน้อยไต่ตอม210
ความอดทนต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายนั้นเป็นที่รู้กันดีในสายเลือดชาวอีสานเพราะอิทธิพลของคำสอนเหล่านี้เองเป็นแก่นสารที่ช่วยให้ชาวอีสานไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นสุภาษิตอีสานก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
หลักการปกครองในระดับท้องถิ่นหรือในระดับประเทศควรมีคุณธรรม กล่าวคือให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร เว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคมและอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้รู้เท่าทันกับโลกธรรม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องประโยชน์สุขแก่มหาชน ปรัชญาพื้นฐานของนักปกครองที่ดีหวังความสุขต่อส่วนรวมนั้นควรเว้นจากการมีอคติสี่ตลอดถึงให้ระงับความโกรธต่างๆด้วย ยิ่งเป็นข้าราชการควรคำนึงมาก ดังคำสอนนี้
อันว่าจอมราชาเหมือนพ่อคิงเขาแท้จิ่ง ให้ไลเสียถิ้มอะคะติทั้งสี่ พญาเอย
โทสาทำโทษฮ้ายโกธากริ้วโกรธแท้เนอ จงให้อินดูฝูงไพร่น้อยชาวบ้านทั่วเมือง
ชาติที่เป็นพญานี้อย่ามีใจฮักเบี่ยงพญาเอย อย่าได้คึดอยากได้ของข้าไพร่เมืองเจ้าเอย
ละอะคะติสี่นี้ได้จึงควรสืบเสวยเมือง ทงสมบัติครองเมืองชอบธรรมควรแท้197
นักปรัชญาอีสานมีทรรศนะต่อชีวิตอย่างไรนั้น ถ้านำหลักทางจริยธรรมมากล่าวก็จะสามารถมองถึงพื้นฐานของชีวิตได้เป็นอย่างดี นั้นคือทุกชีวิตควรกระทำอย่างไรจึงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้นควรมองว่าชีวิตควรประพฤติอย่างไรจึงจะพบกับความสุข นั้นเป็นปัญหาเชิงญาณวิทยาจะต้องแสวงหาความรู้มาเป็นคำตอบ แต่ปรัชญาชาวบ้านนั้นมักจะมองถึงความสัมพันธ์สิ่งที่จะต้องเว้นให้หางมากกว่าชึ่งปรากฏในปรัชชาวอีสานเว้นจากสิ่งที่เป็นบาปกรรม คือให้รักษาศีลห้า ดังคำสอนนี้
คือว่าปาณานั้นบ่ให้ฆ่ามวลหมู่ชีวิต อทินนาบ่ให้ลักโลภของเขาแท้
กาเมบ่ให้หาเสพเล่นกามคุณผิดฮีต เจ้าของมีอย่าใกล้ให้หนีเว้นหลีกไกล
อันว่ามุสานั้นคำจาอย่าตั่วะหล่าย คำสัจจะมีเที่ยงมั่นระวังไว้ใส่ใจ
โตที่ห้าคือสุราปัญหาใหญ่ ฮอดเมรัยอย่าได้ใกล้มวลนี้สิบ่ดี
เสียสติจริงแท้กรรมเวรบ่ได้ปล่อย ความถ้อยฮ้ายสิไหลเข้าสู่ตัว
นั้นเป็นขั้นมูลฐานของชีวิตจริงๆ ซึ่งชนชาวอีสานยังดำรงยึดมั่นในคำสอนเหล่านี้อยู่อย่างดีคำสอนเหล่านี้มุ่งเน้นให้เห็นถึงความสุขขั้นพี้นฐานของชีวิตทุกขีวิตที่เกิดร่วมกันในโลกนี้ ทุกสังคมย่อมมีปัญหามากน้อยต่างกันไปเหตุปัจจัย ดังนั้นสังคมที่ปรากฏในภูมิปรัชญาชาวอีสานยังชี้ไปให้ลึกถึงแก่นของสังคมนั้นคือ อิทธิพลของหลักธรรมในพุทธศาสนาที่ค่อยสะสมขึ้นจนเปี่ยมล้นอยู่ในสายธารศรัทธาของชาวไทยอีสาน แล้วตกตะกอนเป็นแรงศรัทธาที่ซึมซับเอิบอาบจนกลายเป็นจิตนิสัย และบุคคลิกภาพของพุทธศาสนิกชนที่เคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างลึกซึ่ง ดังสุภาษิตอีสานว่า
ศีลกับธรรมพาเฮาดีได้ ควรตัดสินใจน้อมเข้าเพิ่ง
รัตนะ พระไตรหน่วยแก้ว แนวพายั้งอยู่ซุ่มเย็น
ไผบ่อถือศีลธรรมวางถิ่ม เป็นคนเสียชาติเปล่า
ไผบ่อเซื่อธรรมพระพุทธเจ้า ตายถิ่มค่าบ่มี1
โดยเฉพาะบุคคลผู้ที่ได้ผ่านการบวชเรียนมาแล้วจนมีภูมิธรรมซึ่งวัดเป็นผู้ถ่ายทอดมาให้จนสามารถสร้างสรรงานด้านปรัชญาธรรมในพุทธศาสนามาเป็นปรัชญาท้องถิ่นได้ จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมพุทธศาสนาทรงอิทธิพลต่อสังคมชาวอีสานอย่างลุ่มลึกและสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน กวีชาวอีสานได้ผลิตผลงานต่อสังคมและได้นำเอาคติทางพุทธศาสนามาผสมผสานกันอย่างสนิทแนบแน่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ อิทธิพลเหล่านี้จึงค่อยๆซึมซับมาตามสายธารทางปรัชญาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอีสาน
ทางเสื่อมอีกอย่างที่ควรเว้นให้ห่างไกลถ้าต้องการที่จะพบความสุข คืออบายมุขซึ่งในพุทธปรัชญาก็สอนว่าเป็นทางของความเสื่อม ปรัชญาอีสานก็มองเห็นเช่นกันว่าจริงทุกประการ “อย่าได้มัวเมาเล่นการพนันเบี้ยโบก ลางเทื่อโชคบ่ให้ถงเป้งสิขาดกลาง (82 ของเก่าบ่เล่ามันลืม ) ถ้าใครหลงเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วย่อมมีแต่เสื่อมโดยถ่ายเดียว ดังคำกลอนสุภาษิตอีสานว่า
อันว่าการพนันนี้มันอัปปีจังไฮใหญ่ ทางหลวงเผิ่นกะห่ามทางเจ้าเพิ่นหากเตื่อน
คันแม่นหลวงจับได้พาเสียเงินเกินขีด บ่อแม่นเสียถ่อนนั้นมันเสียหน้าตื่มนำหลานเอย
คันว่าในธรรมเจ้าองค์พุทโธเผิ่นแยงโลก เฮาบ่มีดีสังดอกเจ้าการพนันเล่นถั่ว
มีแต่ชั่วอ้อยต้อยบ่ควรเล่นแม่มันดอกนา...มันชวนให้ใจกล้าขะโมยกินของท่าน
คันแม่นลักได้แล้วผัดมาเล่นต่อไป มันบ่มีทางได้การพนันมีแต่ขาด
บ่มีบาดสิได้เงินล้านเข้าใส่ถงดอกนา...อันนี้มันหากแม่ความฮ้ายทางธรรมพระเจ้ากล่าว
ให้พวกเฮาหิ่นฮู้แล้วเซาเล่นต่อไป คันสิว่าเสียเงินแล้วเฮือนซ้ำเสียต่อ
ลางเถื่อเสียเมียพร้อมนำย้อนฆ่ากัน
หลักธรรมเหล่านั้นกวีมักจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวพุทธและจารีตประเพณีของอีสานด้วย โดยมีหลักธรรมดังนี้คือ
๑) กฎแห่งกรรม วรรณกรรมอีสานส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องกฎแห่งกรรม คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฉะนั้นจึงพบว่าสุภาษิตอีสานต่างก็ออกมาจากวรรณคดีอีสานทั้งสิ้น โดยเน้นให้เห็นถึงผู้มีความโลภ โกรธ หลง มักจะได้รับวิบากกรรมในบั้นปลายของชีวิต
๒) กฎแห่งสังสารวัฏ วรรณคดีอีสานส่วนมากจึงมักจะเสนอให้เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดจะดีหรือเลวก็อยู่ที่ผลของกรรมที่ตัวเองทำทั้งสิ้น นั่นคือมนุษย์ที่เกิดในชาตินี้ย่อมเสวยผลของกรรมที่ตนเองทำไว้ในชาติปางก่อนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระราชา หรือยาจก ตลอดถึงพระโพธิ์สัตว์ที่ลงมาเกิด กวีก็เน้นให้เห็นกรรมในอดีตชาตินั่นคือการถูกฝ่ายอธรรมรังแกจนต้องพลัดพรากจากพระนครไปแต่ผู้เดียว แต่สุดท้ายก็กลับมามีชัยชนะ
๓) กฎพระไตรลักษณ์ คือกวีมักจะเสนอให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั้นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วรรณคดีของอีสานก็จะสอนให้รู้ถึงความไม่เที่ยงเหล่านี้ ไว้เสมอ
๔) อำนาจ คือธรรมชาติฝ่ายต่ำของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถให้คุณหรือให้โทษแก่มนุษย์ได้ ถ้านำอำนาจไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรมย่อมส่งผลต่อมนุษย์ ดังนั้นนักปรัชญาอีสานจึงต้องมีการสอดแทรกคติธรรมในการใช้อำนาจ ของตนเองให้อยู่ในกรอบประเพณีวัฒนธรรมซึ่งจะพบมากในคลองสิบสี่ซึ่งเป็นธรรมเนียมการปกครองดังเดิมที่ชาวอีสานพยาสอนลูกหลานให้เข้าใจถึงหลักการเมืองการปกครองควรยึดหลักธรรมเป็นวิสัยทัศน์ในการดำรงตำแหน่ง
๕) เชื่อในชาติหน้า คือวรรณกรรมมีจุดหมายเพื่อสร้างความเชื่อเกี่ยวกับโลกและจักรวาล วรรณคดีอีสานจะดำเนินเรื่องอยู่กับโลกในเชิงจิตวิสัย นั่นคือ โลก สวรรค์ นรก เมืองบาดาล และโลกของพระศรีอารย์ และมีการสอดแทรกอยู่ในผญาภาษิตอีสาน ดังนั้นแก่นเนื้องหาสาระของสุภาษิตจึงมักจะนำเอาหลักธรรมมาแทรกเอาไว้ด้วย เพื่อสั่งสอนคนให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดี
197 พระอริยานุวัตร(เขมจารี),ชนะสันทะยอดคำสอน,(มหาสารคาม:โครงการปริวรรตหนังสือผูกมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๒๕, หน้า ๗–๑๑
1 ดร. พิมพ์ รัตนคุณสาสน์ , ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น(ขอนแก่น, ห.จ.ก.ขอนแก่นการพิมพ์) พ.ศ. 2537 ,หน้า 133