วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

รักแรกพบเกิดได้ใน 8.2 วินาที

 

รักแรกพบ เกิดได้ใน 8.2 วินาที

เพียงแค่ผู้ชายจ้องมองสาวคนไหนนานถึง 8.2 วินาที ก็อาจทำให้ตกหลุมรักได้

นักวิทยาศาสตร์เตือนหนุ่มๆ ทั้งหลายว่า อย่ามัวเผลอไปตะลึงมองสาวคนไหน นานเกินกว่า 8.2 วินาที เพราะอาจจะไปตกหลุมรักขึ้นได้
วารสารทางวิชาการ "บันทึกพฤติกรรมทางเพศ" ของอังกฤษ ได้พบในการศึกษาว่าเพียงแค่ผู้ชายจ้องมองสาวคนไหนนานถึง 8.2 วินาที ก็อาจทำให้ตกหลุมรักได้ และอันที่จริงแล้ว ยิ่งจ้องมองสาวคนไหนเห็นทีแรกยิ่งนานแค่ไหน ก็แสดงว่ายิ่งสนใจมากเท่านั้น หากดูแค่เพียง 4 วินาที แสดงว่าไม่สนใจเลย หากว่านานถึง 8.2 วินาทีไป อาจทำให้เกิดรักแรกพบขึ้นได้

ต่างกับทางฝ่ายหญิง จะสามารถมองดูผู้ชายนาน ๆ โดยไม่สนใจอะไรก็ได้

นักวิจัยเปิดเผยว่า ผู้ชายจะใช้สายตาเพื่อสำรวจหาคู่ครองที่สมบูรณ์และเหมาะสม ในขณะที่ผู้หญิงกลับกลัวว่า จะตกเป็นเป้าของผู้ที่ไม่น่าพิศวาสเข้า เพราะจะต้องระวังการมีครรภ์อันไม่พึงปรารถนา และการโดนถูกทอดทิ้ง

ในการศึกษา นักวิจัยได้ใช้วิธีใช้กล้องที่ซ่อนไว้คอยจับดู การกลอกลูกตาของนักศึกษาทั้งหญิงชาย 115 คน ขณะที่ดูภาพดาราภาพยนตร์ชายและหญิง วัดพบว่า
ผู้ชายจะจ้องมองภาพดาราสาวที่เห็นว่าสวยเฉลี่ยนาน 8.2 วินาที คนไหนที่เห็นว่าไม่สวยจะปรายตามองแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น ในขณะที่นักศึกษาหญิง ต่างมองภาพดาราชายคนต่าง ๆ นานพอ ๆ กัน

วิธีสลัดรักผู้ชายนิสัยเสีย

 



ทำไมโลกนี้ถึงได้มีแต่ผู้ชายแย่ ๆ เต็มไปหมด? คำถามนี้กลายเป็นคำถามโลกแตกไปแล้วค่ะ เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ทำไมประชากรชายนิสัยเสียถึงได้เพิ่มขึ้นขนาดนี้ เพราะหันหน้าไปทางไหนก็เห็นเพื่อนสาวหลายคนต่างโอดครวญถึงชีวิตรัก พอได้ฟังก็ยิ่งเพิ่มความแค้นกับผู้ชายนิสัยเลว ๆ อย่างนี้ทวีเพิ่มขึ้นไปอีก สงสัยจริง ๆ ว่าผู้ชายดี ๆ หายหน้าหายตาไปไหนหมด หรือถูกครอบครองไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกแบดบอยให้ทำร้ายจิตใจผู้หญิงกันต่อไป

ถ้าคุณกำลังคบอยู่ชายคนหนึ่งพอดี และอยากจะบอกเลิกเสียเต็มที เพื่อที่คุณจะได้ครอบครองชีวิตซึ่งเป็นของคุณเองอีกครั้ง ที่สำคัญคุณจะได้เชิดหน้าใช้ชีวิตเพื่อคบกับชายหนุ่มที่แสนดีเสียที แต่วิธีบอกเลิกแบบเดิม ๆ มันก็แสนธรรมด๊าธรรมดาไปแล้ว บอกเลิกไปก็ใช่ว่าผู้ชายพวกนี้จะไม่ได้นะคะปล่อยไว้ไม่ได้ อย่างนี้ต้องหาวิธีเด็ด ๆ มาใช้หักหลังผู้ชายนิสัยเสียเกิน Labelle มีวิธีบอกเลิกเก๋ ๆ มาให้ลองใช้กัน ได้ผลไม่ได้ผลยังไงบอกต่อด้วยนะคะ

โกหกหน้าตาย

จริงอยู่ว่าที่คุณบอกเลิกกับเขาก็เพราะว่านิสัยเสียหลาย ๆ อย่างของเขาที่คุณทนไม่ได้ แม้จะทดลองทนมานานแล้ว แต่ผู้ชายพวกนี้บอกเหตุผลจริง ๆ ไปก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรอก โกหกไปเลยหาเหตุผลเจ๋ง ๆ อย่าง "คุณทำให้ฉันรู้ตัวว่าเป็นเลสเบี้ยนแน่นอน" หรือ "ฉันมีผู้ชายใหม่ซะแล้ว ขอโทษนะ" พูดจบก็เชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตรงออกไปเลยค่ะ

มาสร้างครอบครัวกันเถอะ

พวกเพลย์บอยทั้งหลายกลัวเหลือเกินกับเรื่องการโดนผูกมัด ดังนั้น การมีครอบครัว การมีลูก คือสิ่งที่เขาทั้งหลายออกอาการกลัวสุดขั้ว ลองแกล้งทำบอกเขาสิว่าคุณอยากแต่งงาน อยากมีลูกกับเขา คุณแฟนตัวดีของคุณหายเงียบเข้ากลีบเมฆแน่ แต่ถ้ายังไม่ยอมไปก็แกล้งทำเป็นซื้อหนังสือแม่และเด็กมาอ่าน รับรองว่าคราวนี้หายจริง

สร้างสถานการณ์

ลองให้เพื่อนที่สวยและเซ็กซี่ที่สุดในกลุ่มของคุณแอบมายั่วยวนเขา แล้วบังเอิญว่าคุณมาเห็นพอดี แสดงละครเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าไปเลย ออกอาการโมโหโกรธา น้ำหูน้ำตาไหลได้ก็จะดีมาก และบอกเลิกไปตรงนั้นเลย หลักฐานมัดตัว (ที่คุณสร้าง) มันมีอยู่แล้ว ความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณด้วยอยู่ที่แฟนตัวแสบของคุณต่างหาก

ไซโค

ให้บรรดาเพื่อนสุดเลิฟของคุณ ใครก็ได้ แกล้งทำเป็นแฟนเก่าโรคจิต ส่งอีเมล์ขู่ไปหาแฟนของคุณว่า ถ้าเขาไม่เลิกกับคุณจะต้องโดนดีแน่ ๆ ใช้ข้อความที่แรก ๆ ดูเบา ๆ และค่อย ๆ หนักขึ้นหนักขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาประสาทเสีย แต่ควรจะสร้างอีเมล์ขึ้นมาใหม่นะ ไม่งั้นอาจจะโดนจับได้ หมดสนุกกันพอดี ซึ่งวิธีนี้คุณก็จะได้เห็นธาตุแท้ด้วยว่าแฟนคุณน่ะ ขี้ขลาดตาขาวแค่ไหน

เป็นตัวของตัวเองสุด ๆ

อย่างเวลาที่ออกไปข้างนอกกันสองคน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงหนัง แกล้งทำเป็นตดเสียงดัง ไม่ก็เรอออกมาหน้าตาเฉยต่อหน้าเขาเลแล้วก็บอกลองถามว่าเขารับได้หรือเปล่า ถ้ารับไม่ได้ก็เลิกกันไปซะ แต่ขอบอกก่อนว่าอันนี้เฉพาะคุณสาว ๆ ที่ไม่แยแสสายตาชาวบ้านและขอให้แน่ใจว่าไม่มีคนรู้จักอยู่ในร้านด้วย ทำให้เขาขายหน้าเล่น ๆ จะเป็นไรไปล่ะ

ย้ายถิ่นฐาน

แกล้งทำเป็นส่งโปสเตอร์จากสถานที่อื่น ๆ มาหาเขาพร้อมด้วยข้อความสั้น ๆ ว่า "จะไปเที่ยวพักผ่อนคนเดียว อีกหนึ่งปีเจอกัน" รับรองว่าเขาอึ้งแน่ วิธีนี้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรเลย เพราะคนแบบนี้พูดไปก็เท่านั้น ชิ่งไปอย่างนี้แหละ สะใจดีชอบ....

อย่าเพิ่งมีคนใหม่

ไม่ควรที่จะมีแฟนใหม่ก่อนบอกเลิกกับแฟนคนปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวคุณเองต่างกับแฟนเท่าไหร่ ทางที่ดีควรจะบอกเลิกให้เสร็จสรรพก่อนที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ คนอื่นจะได้ไม่มองคุณในทางที่ไม่ดีประมาณว่าจับปลาสองมือ และคุณจะได้คบกับแฟนใหม่ได้อย่างสบายใจด้วย

ทำในที่สาธารณะ

ผู้ชายนิสัยเลว ๆ อย่างนี้ต้องประกาศให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ค่ะ ไม่ต้องไปหาหรอกที่ส่วนตัวเพื่อที่จะบอกเลิก คุยกันเลยต่อหน้าสาธารณชน แต่ไม่ถึงขนาดตะโกนโหวกเหวกอันนั้นก็ละครทีวีไปนิดนึงแต่งานนี้คุณต้องเข้ม แข็งสักหน่อย อย่าร้องไห้เชียวละ สู้สู้ สู้ตายค่ะ

อย่ารู้สึกผิด

หลังจากที่บอกเลิกกันไปแล้ว อย่ามัวมานั่งจับเจ่ากับความเศร้าอยู่เลย เข้าใจว่าไอ้รักมันก็รัก แต่ถ้าผู้ชายมันนิสัยแย่มาก ๆ ก็อย่าไปแคร์เลยค่ะ รักตัวเองไว้จะดีกว่า คุณยังมีคนรอบข้างที่ยังห่วงคุณอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนผู้ชายน่ะ มีเยอะแยะเหมือนผัก ไม่ตายก็หาใหม่ได้ เชื่อสิ

อย่าลืมว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม อย่าทำให้ผู้ชายแย่ ๆ คนหนึ่งเข้ามาทำให้คุณกลายเป็นคนกลัวความรักไปเลยล่ะ หันมาดูแลตัวเองทั้งกายและใจ พร้อมเปิดรับกับความรักครั้งใหม่ของคุณอาจจะอยู่ใกล้ ๆ แค่เอื้อมนี้ก็ได้ โชคดี...กับความรักครั้งใหม่ค่ะ

สำหรับคุณผู้หญิงลองเอาไปใช้ดูเพื่อจะได้ผลนะครับ

ไม่ได้ผลยังงัยก็อย่าว่ากันนะครับ ^^

วิธีรับมือกับคนปากจัด กัดเก่ง

วิธีรับมือกับคนปากจัด กัดเก่ง

วิธีรับมือกับคนปากจัด กัดเก่ง

มันก็ต้องมีบ้างชิมิ ที่เราจะได้เจอกับคนที่เราไม่พึงประสงค์อย่างเช่น พวกปากจัดกัดเก่ง เอะอะ ก็เอาคำพูดมาทำร้ายเราให้เจ็บแสบจึ้กๆๆๆอยู่เรื่อยๆ การจะรับมือกับคนพวกนี้ไม่ใช่เรื่องชิลๆนะเพราะถ้าเราสู้กลับแต่ปากไม่ได้ลับคมเท่า ก็อาจจะเจ็บใจกลับมาหรือแม้แต่คมพอกัน ก็เจ็บตัวทั้งคู่ เพราะฉะนั้นพี่วารินขอนำเสนอวิธีรับมือกับคนปากจัดกัดเก่งแบบสันติวิธีเอาให้เราไม่ต้องมาอารมณ์เสียกับปากร้ายๆของพวกเขาอีก หะหะอยากรู้แล้วใช่มั๊ยล่ะว่าทำไง
1. ตีเนียนทำเป็นไม่รับรู้
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : การทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่มองไม่เห็นเหมือนพวกคนปากจัดไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้สามารถทำได้ในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกดีแต่ปาก แต่ไม่กล้าจริง ทำได้แค่ส่งเสียงเป็นน้องบ็อกบ็อกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่กล้าลุยมากกว่าพูดทำนองนั้น
วิธี : ทำใจให้ชิลๆคิดซะว่าเสียงพวกนั้นเป็นแค่เสียงลมฝุ่นที่ลอยผ่านหูไปผ่านหูมาไม่ได้มีค่าให้เราต้องเมมไว้ในสมองให้เสียสุขภาพจิต ปล่อยผ่านๆไปเราก็ไม่สบายใจนะจ๊ะ
2. สุภาพใส่
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : กรณีที่เงียบแล้ว แต่ไม่อาจหยุดเสียงลมเหม็นๆได้หรือถูกท้าให้พูดอะไรสักอย่าง แบบตามจิกกัดไม่ปล่อยก็ลองใช้วิธีนี้ดูก็ดีนะ
วิธี : หมากัดอย่ากัดตอบ หมาในปากเห่าใส่ก็อย่าไปเห่าตอบให้เสียเครดิตเลยจ๊ะถ้าเงียบไม่ได้จำเป็นต้องพ่นอะไรกลับไปสักอย่างก็ขอให้ตอบกลับไปอย่างสุภาพแบบคนที่มีการศึกษาหรือกัดจิกแบบสองสามชั้นให้คนฟังที่สมองน้อยนิดงงกันไปเลยแบบนั้นก็สะใจดีนะ
3. พิจารณา และ ยอมรับ
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : กับบางคนที่ปากร้ายแต่ใจดีวัตถุประสงค์ในการกัดจิกคือปรารถนาดีต่อชีวิตเราและเราเองก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ณ จุดๆนี้พี่วารินขอเสนอให้เราพิจารณาตัวเองและยอมรับคำพูดของเค้าเพื่อเอามาปรับใช้และพัฒนาตัวเองนะ
วิธี : ถ้าไม่อยากให้จิตใจเราแย่เพราะรู้สึกไม่ดีกับคำกัดจิกให้มองข้ามคำพูดพวกนั้นไปแล้วพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของคนที่พูดน่าจะดีกว่าเพราะแม้คำพูดจะฟังไม่ลื่นหู แต่ถ้าวัตถุประสงค์ต้องการให้เราได้ดี เราก็จะรู้สึกโอเคมากขึ้นนะ
4. ขู่
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : ถ้าเจอคนที่ปากร้ายเพราะสนุกปากเห็นเราไม่ตอบโต้อะไรเลยเอาใหญ่เพราะความเมามันแบบนั้นลองขู่กลับไปสักตั้งก็อาจจะทำให้เสียงพวกนั้นเงียบลงได้บ้าง
วิธี : ขู่กลับไปว่าจะไปฟ้องครู มีหลักฐานและคลิปเสียง จะฟ้องหมิ่นประมาทอะไรก็ตาม หนักเบาแล้วแต่สถานการณ์อย่างน้อยก็แสดงให้เขาเห็นว่าเราเริ่มจะสู้แล้วนะ จะมากัดเราฝ่ายเดียวไม่ได้อีกแล้ว
5. กัดกลับ
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : เพื่อนปากร้ายกัดเราขำๆ และเล่นเอาเราช้ำใจไปเล็กน้อย ก็ต้องมีตอบโต้กันบ้าง ด้วยการกัดกลับให้แสบไปข้างนึงเลย
วิธี : กัดกลับไปแบบ ขำๆ จิกๆ ให้พอแสบๆ คันๆ และสร้างเสียงฮาได้แต่อย่าจริงจังในน้ำเสียง หรือสีหน้าเพราะไม่อย่างงั้นอาจจะกลายเป็นการก่อดราม่าได้ แบบนั้นมันจะไม่ใช่แค่ขำๆนะจ๊ะ ไม่เวิร์กเลยน้า
6. เปลี่ยนเรื่องคุย
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : เมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่เราต้องเกรงใจหรือรักษาน้ำใจไว้ เช่น เพื่อนพ่อหรือเป็นผู้ใหญ่ หรือเค้ากัดเราโดยที่เค้าไม่ได้ตั้งใจหรือไม่รู้ตัววิธีการที่สมานฉันท์ที่สุดคือการเปลี่ยนเรื่องคุยมันซะเลย
วิธี : หาจังหวะที่เขาเงียบเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราอย่างเนียนๆถ้าพูดได้ด้วยน้ำเสียงปกติก็จะดีมากเลยทีเดียวเชียวแหละ
7. หาพวกมาช่วยปกป้อง
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : ฝ่ายตรงข้ามเริ่มไม่ไหวจะเคลียร์ คุกคามเรามากจนเกินไปแต่ถ้าให้ไปสู้แบบตัวต่อตัวเกรงว่าเราจะสู้ไม่ไหวซะงั้นแบบนี้ต้องหาเกราะป้องกันตัวเองด้วยการหาคนช่วยป้องกันน่าจะเวิร์กกว่า
วิธี : เล็งหาคนที่เรารู้ว่าเพื่อนคนนั้นจะต้องเกรงอกเกรงใจ เช่นเป็นพ่อแม่ของเพื่อนคนนั้น เป็นครู หรือเป็นเพื่อนๆที่คนๆนั้นกลัวไม่กล้าหือ แล้วพยายามเข้าไปอยู่กับคนที่จะปกป้องเราได้ให้มากๆก็จะปลอดภัยขึ้นเยอะเลยล่ะ
8. แผ่เมตตา
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : ไม้อ่อนก็แล้ว ไม้แข็งก็แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เลิกตามจิกเราซะทีแบบนี้เห็นทีเราต้องปล่อยเบลอ ไม่สุงสิง ไม่สนใจและแผ่เมตตาเพื่อเอาชนะเค้าอย่างสร้างสรรค์แล้วล่ะนะ
วิธี : สงบสติอารมณ์ของตัวเองให้นิ่งแผ่เมตตาให้กับเขาประหนึ่งเค้าเป็นสิ่งมีชีวิตโง่เขลาบาปหนาที่กำลังเป็นทุกข์เพราะความริษยา แล้วเราสบายใจขึ้น
9. เดินหนี
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : เค้าปากร้ายใส่เราแบบไม่เว้นวรรค แต่เราไม่อยากมีปัญหาเพราะว่าไม่ชอบการมีปัญหากับใครและรู้ว่าไม่ต้องเจอหน้ากันบ่อยๆมั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้เค้าจะไม่ตามราวีเราการเดินหนีเป็นทางออกที่ดีกว่าการตอบโต้นะจ๊ะ
วิธี : ทำหูทวนลมไม่ใส่ใจ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางหรือถ้ารู้ว่าไปที่ไหนจะเจอเค้าก็เลี่ยงไปอีกที่ซะไม่ต้องสนใจหรือเก็บเอาคำพูดเขามาคิดให้รกสมองหรอกจ้า
10. แสดงออกว่าเราเริ่มไม่ยอม
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : เพราะยอมมาตลอด ฝ่ายตรงข้ามเลยกัดจิกว่าเราไม่หยุดซะทีลองแสดงออกว่าเราไม่ยอมอีกต่อไปแล้วดูสิบางทีเขาอาจจะสะดุ้งแล้วกลัวเราง่ายๆ ซะงั้นเลยนะ เพราะเราตอนเอาจริงน่ะ น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
วิธี : จากที่เคยเงียบๆอยู่อย่างอดทน อดกลั้นลองแสดงออกให้รู้ว่าเราไม่ยอมโดนกัดจิกฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้วนะอาจเริ่มจากบอกเขาไปตรงๆว่า เราจะไม่ทนแล้ว แล้วตอบกลับด้วยเหตุผลหรือคำพูดเจ็บๆ แล้วแต่สถานการณ์
11. บอกไปตรงๆว่าไม่ชอบ
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : บางทีการที่คนอื่นมาปากร้ายใส่เรา อาจจะเป็นเพราะความคะนองสนุกเกินไปของเค้า จนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าเรารู้สึกอย่างไง ดีใจ เสียใจหรือนอยด์อยู่หรือเปล่า ทำให้จิกเราไม่เลิกซะทีแบบนี้ต้องตรงไปตรงมากันแล้วล่ะ
วิธี : บอกเค้าไปอย่างตรงๆและสุภาพว่าเราไม่ชอบที่เค้าทำแบบนี้และไม่ได้นึกสนุกด้วยเลย เพราะฉะนั้นอยากให้เค้าเลิกไม่อย่างนั้นจะนอยด์จริงอะไรจริง
12. ทำตัวน่าสงสาร
ลักษณะเหตุการณ์ที่เหมาะ : เพื่อขอความเห็นใจจากคนรอบข้าง บางทีเราก็ต้องทำตัวให้น่าสงสารบ้างเพื่อต่อสู้กับการกัดจิกโดยคนที่เราไม่อาจสู้กับเขาตรงๆได้และให้คนหมู่มากร่วมกันต่อต้านคนที่รังแกเราไง สู้ด้วยกำลังไม่ได้ก็ต้องใช้สมองแก้ปัญหากันบ้างล่ะ
วิธี : ไม่ต่อสู้โดยตรง ร้องไห้ หรือหลบหนีไปเสียใจอยู่คนเดียวบ้างให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นนางเอกอ่อนแอที่ถูกตัวอิจฉาทำร้ายพวกเค้าจะได้เห็นใจ และเข้ามาช่วยเหลือเราไงล่ะ

10 คำถาม ยอดนิยม เกี่ยวกับผู้หญิงวัยทอง

 

10 คำถาม ยอดนิยม เกี่ยวกับผู้หญิงวัยทอง (โรงพยาบาลพญาไท)

ข้อมูลสุขภาพโดย พญ.ศิริอร สุมาลย์นพ สูตินรีแพทย์ด้านนรีเวชศาสตร์และสตรีวัยทอง
ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2

ผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทองคงจะมีปัญหาค้างคาใจเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย วันนี้ทางโรงพยาบาลพญาไท มี 10 คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับเรื่องวัยทองมาบอกคุณผู้หญิงกันค่ะ

1.วัยหมดประจำเดือน คืออะไร

ผู้หญิงเมื่อเลยวัย 40 ขึ้นไป การทำงานของรังไข่จะชะลอลง บางคนประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจจะมาถี่ขึ้นในช่วงแรก และค่อยๆ ห่างออกมาจนหมดไปในที่สุด เมื่อรังไข่หยุดผลิตฮอร์โมนอย่างถาวร จะทำให้ประจำเดือนหมดไป ซึ่งมักจะเกิดในช่วงอายุ 47-50 ปี

2.ทำไมเรียกวัย 40+ ว่า “วัยทอง”

เมื่อเริ่มวัย 40 ปีขึ้นไป ผู้หญิงส่วนใหญ่มีหน้าที่การงานมั่นคง มีครอบครัวและสังคมลงตัว ถือเป็นวัยแห่งความสำเร็จของชีวิต จึงมักเรียกวัยนี้ว่า “วัยทอง”

3.อาการวัยทอง เป็นอย่างไร

ช่วงแรก ประจำเดือนไม่ปกติ อาจร่วมกับมีอาการที่ทำให้ชีวิตประจำวันผิดปกติไป เช่นนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ปวดเมื่อยตามตัวตามข้อ อ่อนเพลีย เบื่อหน่ายทุกเรื่อง บางคนอาจมีโรคกระดูกพรุน และไขมันในเลือดสูง

4.เป็นไปได้ไหมที่จะเข้าวัยทอง ตั้งแต่อายุยังน้อย

ผู้หญิงที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด และผู้หญิงที่ได้รับการฉายแสง หรือได้รับเคมีบำบัดจากการรักษาโรค มักจะหมดฮอร์โมนเพศก่อนกำหนดด้วย และมักมีอาการแบบเดียวกับผู้หญิงวัยทองแต่ความรุนแรงของอาการจะมากกว่า เนื่องจากเป็นการขาดฮอร์โมนแบบเฉียบพลันและอายุยังน้อย

5.แต่ละคนจะมีอาการวัยทองคล้ายกันไหม

เป็นเรื่องของ พันธุกรรมและพฤติกรรม สุขภาพที่ถูกตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมมีอาการเสื่อม ถอยเร็วกว่าคนที่หมดประจำเดือนตามธรรมชาติ แต่ในคนอ้วนมักมีอาการน้อย เพราะมีฮอร์โมนสะสมตามร่างกายสำรองไว้มากกว่าคนผอม

6.เมื่อเข้าวัยทองยังสามารถมีลูกได้ไหม

สาวน้อยสาว ใหญ่ที่กำลังย่างเข้าวัยทอง โดยส่วนใหญ่มักเริ่มหลังอายุ 40 ปี จะมีลูกยาก เนื่องจากรังไข่เริ่มรวนเร ทำงานไม่ปกติ การสร้างฮอร์โมนเพศ ขึ้นๆ ลงๆ นานๆ จะมีไข่ตกสักครั้ง ประจำเดือนจะแปรปรวนไม่ปกติ ทำให้โอกาสที่จะมีลูกยากขึ้น

7.ฮอร์โมนเพศมากจากไหน

เมื่ออยู่ในวัยสาว รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศ หรือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้มีการพัฒนาการของร่างกายให้มีลักษณะเพศหญิงและยังมีผล ต่อ อวัยวะต่างๆ เช่น กระดูก ไขมันในเลือด สมอง อารมณ์ จิตใจ และอวัยวะสืบพันธุ์ นอกจากนี้รังไข่ยังผลิตฮอร์โมนโปรเจสโตโรน ซึ่งให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปด้วยดี แต่ในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนนี้จะปรับเยื่อบุโพรงมดลูกให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน

8.ร้อนวูบวาบในวัยทองเป็นอย่างไร

เป็นความรู้สึก ร้อนขึ้นทันทีที่ผิวบริเวณศรีษะหรือหน้าอก มักตามด้วยเหงื่ออกมาก หนาว อ่อนเพลีย และวิงเวียน บางคนเป็นตอนกลางคืน อาการนี้มักเกิดใน 2-3 ปีแรกของการหมดประจำเดือน

9.มีอาการแสบ เวลามีเพศสัมพันธ์

เมื่อเข้าสู่วัยหมด ประจำเดือน ระดับเอสโตรเจนในร่างกายจะต่ำมาก อาจมีอาการแสบร้อน สาเหตุเนื่องจากผนังและเยื่อบุผิวช่องคลอดแห้ง สูบเสียความยืดหยุ่น ช่องคลอดแคบและสั้นลงสร้างน้ำหล่อเลี้ยงได้น้อย ทั้งในเวลาปกติและในเวลามีเพศสัมพันธ์จึงทำให้เกิดอาการเจ็บ

10.ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้

การขาดเอสโตรเจน ทำให้เนื้อเยื่อ และเส้นเลือดรอบกระเพาะปัสสาวะฝ่อเหี่ยว ทำให้กลั้นปัสสาวะลำบาก เวลาไอ จาม หรือหัวเราะแรงๆ อาจเกิดปัสสาวะเล็ด การขาดเอสโตรเจนทำให้เยื่อบุผิวทางเดินปัสสาวะบางลง ติดเชื้อได้ง่ายบางรายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย และเสียวแสบขัดตอนปัสสวะใกล้ ๆ จะสุด

ที่มา http://www.esanvariety.com/

5 ความคิดผิด ๆ ในการเลือกคู่ ที่พลาดกันอยู่บ่อย

 

5 ความคิดผิด ๆ ในการเลือกคู่ ที่พลาดกันอยู่บ่อย ๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดในเรื่องนี้อีก ลองใช้ความผิดพลาดที่พบกันบ่อยเหล่านี้ เป็นแนวทางในยามคบหาใครสักคน

1. รูปลักษณ์

กี่ครั้งกี่หนที่คุณแทบละลายเพราะผู้ชายรูปหล่อหน้าตาดี บ่อยเลยใช่ไหมล่ะ? ทำไมคุณถึงตกหลุมรักพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมคุณถึงได้วางเรื่องรักของคุณไว้บนพื้นฐานของหน้าตาล่ะ เราแน่ใจว่าสิ่งที่คุณต้องการจากคู่รักนั้น มากกว่ารูปร่างหน้าตาดี ๆ ของพวกเขาแน่ และถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นนายแบบหรือดารา รูปร่างหน้าตาไม่ได้ช่วยให้คุณมีเงินทองหรือความสุขได้หรอกนะ

2. เราเข้าใจว่าผู้หญิงชอบผู้ชายตัวสูง ๆ

เพราะรู้สึกว่าได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเขา อย่างไรก็ตาม ความสูงไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ใด ๆ เลยว่าเขาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร คุณคาดหวังจะได้อะไรจากผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่ชายรูปร่างเล็กหรือเตี้ยให้คุณไม่ได้ล่ะ เราบอกคุณได้เลยจากประสบการณ์ว่า ความสูงของผู้ชายไม่ได้เป็นตัวกำหนดหัวใจของเขา และหัวใจต่างหากที่จะบอกว่าผู้ชายเป็นคนดีแค่ไหน และเขาจะปฎิบัติต่อคุณดีเพียงใด

3. ศักยภาพ

อย่าเข้าใจผิดไป คนที่มีศักยภาพในตัวเต็มเปี่ยมถือว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เรากำลังพูดถึงก็คือ คุณไม่ควรเลือกคนคนหนึ่งจากศักยภาพของเขาแต่เพียงอย่างเดียว ศักยภาพเป็นเพียงคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเราเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนดี คุณจำเป็นต้องแยกแยะด้วยว่าเขามีคุณสมบัติอื่นใดอีกด้วยบ้าง มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะแยกแยะว่า คน ๆ นั้นตรงการความต้องการของคุณหรือเปล่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าอะไรที่คุณต้องการ คุณก็มีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ

4. ความมีอารมณ์ขัน

การมีคนซึ่งมีอารมณ์ขันและสนุกสนานอยู่ด้วย ทำให้ชีวิตของคุณดูจะง่าย ๆ สบาย ๆ ขึ้น การหัวเราะเป็นการเบี่ยงเบนตัวเองจากความวิตกกังวล และปัญหาต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคู่รักของคุณทำตัวตลกมากเกินไป และไม่อาจจริงจังกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ มันก็จะกลายเป็นปัญหา ซึ่งคุณไม่ต้องการอย่างแน่นอน การเน้นที่คุณสมบัติในเรื่องนี้มากเกินไป ในเมื่อคุณต้องการมากกว่านั้น จะนำคุณไปสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยปัญหา และความปวดเศียรเวียนเกล้า

5. ความตื่นเต้น

ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่คุณจะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่ดูน่าตื่นเต้น สนุกสนาน และมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยง ความพลุ่งพล่านที่คุณรู้สึก เมื่ออยู่กับพวกเขาเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ แต่คุณจะสามารถใช้ชีวิตที่ต็มมไปด้วยความตื่นเต้นเช่นนั้น ได้นานเท่าไหร่กันล่ะ? การแสวงหาคนที่จะให้ความตื่นเต้นแก่คุณทุกวัน อาจนำคุณไปสู่เส้นทางชีวิตที่ไร้ความรับผิดชอบ ลองนึกย้อนไปถึงคนในสมัยเรียน ที่ใช้ชีวิตน่าตื่นเต้นดูสิ เดี๋ยวนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง เราแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก

มันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องรับรู้ว่า คุณสมบัติบางอย่างของผู้ชาย ไม่เพียงพอที่จะสร้างชีวิตรักที่มีความสุข ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณ ลองมองดูเงื่อนไขที่คุณใช้เลือกคู่ของคุณดูสิ

 

http://www.esanvariety.com/

คำโกหกของผู้ชาย

คำโกหกของผู้ชาย

"ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ"(ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน)
ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว

"เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ

25_20110804221959"เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จ ะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้

"ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ

"สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)
ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้

"ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)
เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง

"ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ

"ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่

"คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)
เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพ ย์ติดของเค้าขนาดนั้น

"ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)
เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค ความคิดของเธอ

"ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน)
และ 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป“ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง

“เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน

”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”

“เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน

“ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า

“ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็หญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”

“มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)
แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน

“ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)

มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

สิ่งมหัศจรรย์ เกี่ยวกับความรัก 6 แบบ

 

สิ่งมหัศจรรย์ เกี่ยวกับความรัก 6 แบบ

1. ผู้ชายรักง่ายกว่าผู้หญิง : เรามีแนวโน้มจะคิดว่าผู้หญิงรีบร้อนที่จะมีรัก แต่ความจริงผู้ชายเป็นอย่างนั้นมากกว่า "สมองผู้ชายติดตั้งสัญญาณเกี่ยวกับการมองเห็นมากกว่า" ดังนั้น เมื่อหนุ่มเห็นสาวที่ทำให้เครื่องเขาติด ก็จะมีแรงไปกระตุ้นสมองส่วนพิเศษที่มีเฉพาะในเพศชาย
2. คนที่ใช่ ไม่ได้มีเพียงคนเดียว : ถ้าคุณคิดว่าคุณทำคู่แท้หลุดมือไปแล้วล่ะก็ อย่าเสียใจไปเลย โลกนี้เต็มไปด้วย ผู้ชายที่มีแนวโน้มจะเป็นคนที่ใช่เยอะแยะ "เหตุผลที่ผู้หญิงมากมายทุกข์ใจ จากการเดท ก็เพราะพวกเธอเชื่อว่า โลกนี้มีผู้ชาย แค่คนเดียวที่ถูกสร้างมาเพื่อเธอ"
3. อยู่ห่างๆ กันบ้างก็ดี : ในขณะที่คุณกำลังคลั่งรักหัวปักหัวปำ สิ่งที่คุณอยากทำก็คือเอาอกเอาใจเขา และอยากเกาะติดเขาแจได้ทั้งวันทั้งคืน "การอยู่ห่างกันทำให้สารเคมีแห่งความรัก อย่างโดพามีนและนอเรฟฟินเนฟฟิลในสมองเพิ่มผลผลิต"
4. รักแรกพบมีจริง : มันเป็นไปได้ ที่เราจะรักใครซักคน ที่เพิ่งเจอแค่แป๊ปเดียว "ทางชีวภาพสัตว์ต้องหาคู่ให้ได้ ก่อนฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุด ก็เลยต้องถูกตาต้องใจกันอย่างเร็ว" ในเมื่อสมองเราก็ส่งสารแบบนั้น เราก็เลยสามารถตอบโต้ ตัวกระตุ้นอย่างความชอบ ภาษากายและความเข้ากันได้อย่างรวด เร็ว
5. ความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ : ความรักกระตุ้นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการจดจ่อไปที่แรงจูงใจ และแรงผลักดัน ซึ่งตรงข้ามกับสมองส่วนความรู้สึก เช่นความสุขหรือความเศร้า ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทำไมเราถึงว้าวุ่นใจเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ทำให้ชีพจรเราเต้นรัว
6. ความรักเป็นสิ่งเสพติด : เมื่อเราดูรูปคนรักเก่า ส่วนของสมองที่เกี่ยวข้อง กับการเสพติดแอคทีฟเป็นพิเศษเลย โดพามีนถูกหลั่งออกมา แล้วเราก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม จิตใจหวั่นไหวล่องลอยอย่างแรง เหมือนใช้ยาเสพติดเลย นั่นคือสาเหตุที่เราโหยหาหวานใจเราไง

ที่มา ... sakid.com

http://women.thaiza.com

ไปดีไหม...ถ้าใจมันเบื่อเขาเหลือทน

 

ไปดีไหม...ถ้าใจมันเบื่อเขาเหลือทน

ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะทนอยู่ต่อไปหรือเดินจากไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลองตรวจสอบความรู้สึกดังต่อไปนี้
เมื่อก่อนนี้รักกันจี๋จ๋า อยากเห็นหน้ากันวันละหลายหน อยากได้ยินเสียงวันละหลายครั้ง หายใจเข้าก็...เฮ้อ...เธอ หายใจออกก็...เฮ้อ...เธอ แต่เดี๋ยวนี้มันเซ็งในอารมณ์จนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หรือความรักมันจืดชืดจนเกินเยียวยาเสียแล้ว
ถ้าอยู่กันแบบเบื่อๆเซ็งๆแบบนี้ สู้ทะเลาะกันให้แตกหักไปเลยดีกว่า เพราะคนที่เบื่อหน้ากันมันจะเบื่อจนขี้เกียจทะเลาะ แล้วก็จะอยู่ด้วยกันแบบฝืดๆไปเรื่อยๆแบบนี้ เหมือนคนย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวไปไหน นี่แสดงว่าความสัมพันธ์กำลังเข้าขั้นวิกฤต และ
1.อย่าใช้เรื่องราวในอดีตมาเป็นตัวตัดสิน
ควรตัดสินใจด้วยสภาวะและความรู้สึกในปัจจุบันเท่านั้น อย่าขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตมาข้องเกี่ยว จนทำให้จิตใจไขว้เขว เช่น ตอนนี้เบื่อหน่ายจนอยากเลิก แต่พอนึกถึงความดีของเขาในอดีต ก็เลยสงสารเห็นใจ ไม่อยากทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บช้ำ เลยยอมทนทู่ซี้อยู่กันไปวันๆ ซึ่งไม่ให้ผลดีแก่ใครเลย ยิ่งยื้อไว้ก็ยิ่งผูกพัน พอถึงคราวต้องเลิกกันจริงๆ เขาจะยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม ทางที่ดีถ้าเห็นว่าไปไม่รอด ก็ปล่อยเขาไปเถอะ แยกย้ายกันไปเจอคนที่คู่ควรดีกว่า
2.ทั้งคู่คิดปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นไหม
คนบางคนมีนิสัยยอมแพ้อะไรง่าย แค่ความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหาก็คิดว่าเลิกๆไปเถอะ ทั้งที่ยังไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อแก้ไขปัญหา ลองสู้เพื่อความรักดูก่อนไหม แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามอยู่ข้างเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือเลย ก็ควรแยกกันไปดีกว่า ทางใครทางมันดีที่สุด
3.ทนอยู่เพราะไม่อยากหาคนใหม่
ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่รักกันมานานหลายปีจนขี้เกียจเลิกไปหาคนใหม่ คล้ายกับเป็นความเคยชินด้วย เหตุผลแบบนี้ไม่เข้าท่าเลยค่ะ จะทนทรมานกันไปทำไม รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า ไม่ควรเสียเวลาในชีวิตไปกับคนที่เราไร้ความรู้สึกด้วยแล้ว อย่ากลัวที่จะเดินหน้าต่อไป คิดเสียว่า เราก็ให้โอกาสเขาได้ไปเจอคนที่เหมาะสมกว่าเราด้วย
4.กลัวเลิกแล้วหาใหม่ไม่ได้
กลับขึ้นคานหรือคะคุณขา...อย่าไปกลัวค่ะ เหตุผลนี่ละที่ทำให้คนไม่กล้าบอกเลิกกันเสียที ทั้งที่เป็นเหตุผลสุดแสนไม่เข้าท่าในการหาข้ออ้างเพื่อทนอยู่กันต่อไป เพราะกลัวการอยู่คนเดียวนั่นเอง
5.ความแตกต่าง
ตอนแรกก็เข้าขากันดี แต่พออยู่ไปนานๆ เอ๊ะ นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ไหว ความแตกต่างยิ่งโผล่ออกมาให้เห็น ไปๆมาๆกลายเป็นว่าแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ก่อนอื่นลองถามตัวเองว่า เรากับเขาแตกต่างกันมากขนาดนั้นเชียวหรือ ควรใช้วิธีพูดคุยกันมากขึ้นเพื่อกำจัดช่องว่าง หรือให้เขาได้ใกล้ชิดเรามากขึ้น ลองทำดูก่อนที่จะคิดเลิกรากันง่ายๆ
6.มองหาข้อดีของการอยู่ด้วยกัน
ลองจดลงกระดาษว่า ข้อดีของการอยู่ด้วยกันต่อไปมีอะไรบ้าง เช่น เขาทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมั่นคง เป็นไหล่ให้ซบเช็ดน้ำตา ให้คำแนะนำที่ดีเยี่ยม แถมเซ็กส์ยังสุดยอด ฯลฯ เขียนข้อดีลงกระดาษอย่างละเอียด แล้วถามตัวเองว่า เราทนอยู่กับเขาเพราะอะไร จากนั้นลองเขียนข้อดีของการเลิกกัน เช่น มีเวลาของตัวเองมากขึ้น มีโอกาสได้พบคนที่เหมาะสมกับเราจริงๆ มีอิสระที่จะท่องเที่ยวไปไหนมาไหน ไม่ต้องมีเซ็กส์กับเขาอีกต่อไป
7.ตัดสินใจถูกหรือเปล่า
หากตัดสินใจถูกต้อง ความรู้สึกจะเป็นดังนี้ ถ้าตัดสินใจเลิก เราจะรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้า และเจ็บปวดนิดๆที่ความรักล้มเหลว แต่อาการจะดีขึ้นเองในภายหลัง ถ้าตัดสินใจอยู่ต่อ เราจะรู้สึกเหมือนได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคนรักขึ้นมาใหม่ ความมีชีวิตชีวาและสีสันจะกลับคืนมาเหมือนแรกรักกัน ทั้งเราและเขาจะตั้งตารออนาคตอันสดใส เพราะได้ร่วมกันสานสัมพันธ์ให้แนบแน่นกว่าเดิม
เหตุผลที่สมควรบอกเลิก
มีสิ่งที่เหมือนกันหรือเข้ากันได้ไม่กี่อย่าง เช่น งานอดิเรก เซ็กส์ และหมา
เขาไม่ยอมประนีประนอมด้วยเลย และไม่คิดว่าความรักกำลังมีปัญหา ทั้งที่เราพยายามอธิบายจนปากเปียกปากแฉะก็เถอะ
เขาปฏิบัติกับเราแย่มากๆ
เขาเอาเปรียบเรา หรือไม่เราก็เบื่อเสียจนไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวเขาเลย
เรารักเขาในระดับหนึ่งแต่ยังไม่มากพอที่จะอยู่ด้วยกันในระยะยาว ไม่พร้อมจะอยู่กับใครสักคนจนชั่วชีวิต ไม่อยากแบ่งปันทุกข์สุขความรักความหลัง และเรื่องราวอีกมากมายซึ่งเป็นรายละเอียดของชีวิต ตอนนี้มีเพียงอารมณ์ของความรักเท่านั้น ถ้างั้นก็ควรเปลี่ยนจากแฟนเป็นเพื่อนจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเบื่อหน้าเขาเต็มทน ควรคิดูให้ดีเสียก่อนว่า เป็นเพราะปัจจัยภายนอกหรือเปล่า อาจเป้นเพราะเรื่องงานหรือเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ก็เลยพาลเบื่อไปหมด มิฉะนั้นอาจสูญเสียผู้ชายแสนดีหนึ่งเดียวในชีวิตไปก็ได้ค่ะ.

ที่มา .. msn.co.th

http://women.thaiza.com

พฤติกรรมงี่เง่า...ไล่คู่เดตให้หนีหาย

 

พฤติกรรมงี่เง่า...ไล่คู่เดตให้หนีหาย

บางครั้งเราก็ต้องจำใจออกเดตอย่างเสียไม่ได้ อาจเป็นเพราะเพื่อนฝูงหวังดีอุตส่าห์หาคู่นัดมาให้ หรือไม่ก็บังเอิญไปตกปากรับคำจึงต้องยอมไปเดตอย่างนั้นเอง และไม่คิดจะสานต่อให้มีครั้งที่สอง ดังนั้นจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่ประทับใจจนคิดไม่อยากเจอหน้าเราอีก
มาสายสุด ๆ
นี่คือด่านแรกของการสร้างความไม่ประทับใจ ไม่มีใครชอบคนมาสายตั้งแต่เดตกันครั้งแรกแบบนี้แน่นอน ยิ่งถ้าสายเยอะ ๆ เป็นชั่วโมงละก็...แทบจะสาบส่งกันเลยทีเดียว เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่ใส่ใจคนที่ต้องมานั่งรอ แค่มาให้ตรงเวลายังมาไม่ได้แล้วจะคบไปทำไมคนแบบนี้
กลิ่นตัวเหม็น
ว้าย ๆ โอ๊ยตายแล้ว เหม็นไปหมดทั้งตัวแบบนี้ใครจะอยากอยู่ใกล้ ผมไม่ได้สระมาสามวัน น้ำไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวาน เท้าก็มีกลิ่นเหม็นโฉ่สุดทน เวลาเอ่ยเอื้อนออกมาแต่ละครั้งก็เหมือนมีใครเปิดถังขยะอยู่ใกล้ ๆ
เผลอหลับ
เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทมาก ๆ เรียกว่าไม่ให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายเลย เป็นการแสดงความรู้สึกให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าการเดตครั้งนี้มันช่างน่าเบื่อเหลือทน จนต้องหลับสัปหงกกันเห็น ๆ และยังบอกเป็นนัยให้รู้อีกว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการนัดหมายครั้งนี้ ก็เลยไม่ได้นอนหลับตั้งแต่หัวค่ำเพื่อเจอกันด้วยความสดชื่นแจ่มใส
คุยเรื่องแต่งงาน
ผู้ชายกลัวที่สุดเรื่องแต่งงานกับมีลูกนี่ละ เพราะฉะนั้นจัดชุดใหญ่ให้เลยด้วยการพร่ำถามเขาเรื่องการแต่งงานว่า มีแผนแต่งงานเมื่อไร ชอบจัดงานแนวไหน แต่งแล้วไปฮันนีมูนที่ไหน จะมีลูกเลยหรือเปล่า ถ้าเขาพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด ก็ควรดึงกลับมาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
แต่งตัวไม่เหมาะ
แต่งตัวไม่ถูกกาละเทศะโดยสิ้นเชิง เช่น ใส่เสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงยีนส์ขาดวิ่นไปดินเนอร์หรูใต้แสงเทียน ณ โรงแรมกลางใจเมือง ใส่กระโปรงสั้นกุดไปเที่ยวสวนสัตว์ ใส่ชุดราตรียาวไปกินข้าวที่ตลาดโต้รุ่ง ขอให้ยึดหลักง่าย ๆ คือ แต่งตัวให้เหมือนอยู่บ้านเวลาไปออกเดต
ปรี๊ดแตก
วีนแตกแบบไม่ไว้หน้า อาจอารมณ์ค้างมาจากไหนแล้วมาลงที่คู่เดตซะเลย เรียกว่าโดนหางเลขไปแบบเต็ม ๆ หรือไม่ก็ในระหว่างเดตเจออะไรขวางหูขวางตาก็ออกฤทธิ์เดชอาละวาดเต็มที่ราวกับช้างตกมัน หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุสุดวิสัย เช่น รถของเขาเกิดเฉี่ยวชน ก็ควรลงจากรถไปปรี๊ดแตกวี้ดบึ้มให้สาแก่ใจ
สวาปามทุกอย่าง
กินแหลกราวกับตายอดตายอยากมาจากไหน ยิ่งถ้าเจออาหารที่โปรดปรานละก็ แทบจะไม่เงยหน้าเลยทีเดียว หรือไม่ก็พูดจ้อทั้งที่อาหารยัดอยู่เต็มปากนี่ละ หรือไม่ก็เขินอายสายตาที่เขาจ้องมองมาจนต้องก้มหน้าก้มตากินแบบนันสต๊อป ต่อให้เป็นสาวสวยหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนก็เถอะ...หมดราคาแน่นอน
อยากรู้อยากเห็นอดีตของอีกฝ่าย
ขุดคุ้ยซักถามประวัติชีวิตของอีกฝ่ายแบบไม่ลดละ เป็นพฤติกรรมที่ชวนอึดอัดและหงุดหงิดอย่างที่สุด เช่น เคยทำงานอะไรมาบ้าง ตกงานหรือเปล่า ทำไมถึงตกงาน เงินเดือนเท่าไร เคยมีแฟนมากี่คน มีปัญหาอะไรกับเพื่อนคนนั้นถึงเลิกคบกัน ถามเลยค่ะ...ถามเยอะ ๆ เขาจะได้เซ็งจนไม่อยากเจอหน้าเราอีกตลอดชีวิต
ถามเรื่องแฟนเก่า
จริง ๆ แล้วแฟนเก่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงสักเท่าไร แต่บางทีมันก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเลิกกัน หรืออยากรู้เพื่อเอามาเปรียบเทียบกับเรา ยิ่งถ้าเขาเลิกรากันแบบไม่สวยละก็คงไม่อยากพูดถึงแน่ ถ้าอยากให้เขารีบเผ่นหนีละก็ ควรจิกถามเรื่องแฟนเก่าอย่างละเอียดไปเลย
จ้อแต่เรื่องตัวเองไม่หยุด
วู้ย...ผีเจาะปากมาให้พูดหรือคะ แถมยังพูดแต่เรื่องตัวเองซะด้วย ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่าคนที่เอาแต่พล่ามไม่หยุด นอกจากจะน่ารำคาญแล้วยังเท่ากับเป็นการแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้เรื่องราวรายละเอียดของเรา เรียกว่ามองทะลุปรุโปร่งไม่มีอะไรให้ลุ้นหรือค้นหากันเลย
จริง ๆ แล้วลองเลือกทำแค่ข้อเดียวก็ไม่มีใครอยากคบด้วยแล้วค่ะ แต่ถ้าต้องการให้อีกฝ่ายไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลยตลอดชีวิตก็ทำให้ครบทุกข้อ...รับรองว่าหนีกันกระเจิดกระเจิงเลยทีเดียว.

ที่มา ... msn.co.th

http://women.thaiza.com




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons