วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อังคนาง คุณไชยในด้านช่วยเผยแผ่ศาสนาผ่านเสียงลำ

artist02

อังคนางค์ คุณไชย นักร้องหมอลำและศิลปินพื้นบ้านอีสาน สาขา ศิลปะการแสดง เป็นศิลปินหมอลำที่มีผลงานมากมายอีกคนหนึ่ง ได้บันทึกแผ่นเสียงทั้งเพลงลูกทุ่ง หมอลำ และการลำเรื่องต่อกลอน

ประวัติ

นางอังคนางค์ คุณไชย มีชื่อจริงว่า ทองนาง คุณไชย เกิดเมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2499 ณ บ้านเลขที่ 152 หมู่ 8 ตำบลโคกสาร อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ อำเภอชานุมาน จังหวัดอุบลราชธานี (จังหวัดอำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) พี่น้อง 7 คน (เป็นคนสุดท้อง) เริ่มการศึกษาเบื้องต้นระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านโคกสารเทิง ตำบลโคกสาร อำเภอชานุมาน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยสอบได้ที่ 1 ของทุกชั้นเรียน ปัจจุบันสมรสกับนายอำนวย ศิริมณี

ก่อนเข้าสู่วงการหมอลำ เด็กหญิงทองนาง จบการศึกษาชั้นป.4 และไม่ได้เรียนต่อเนื่องจากฐานะทางบ้าน ยากจน ในวัยเด็กชอบฟังเพลง และร้องเพลงลูกทุ่ง หมอลำ เมื่อมีโอกาสทุกครั้งจะไปร้องเพลงที่ทางโรงเรียนจัดในหมู่บ้านทุกครั้ง ซึ่งจะได้คำชม และรางวัลบ้าง โดยมีคุณพ่อ เป็นผู้สนับสนุนในการร้องเพลง เมื่อพ่อเข้าในเมืองเพื่อไป ขายสินค้าเมื่อไร ก็จะซื้อตำราเรียนหมอลำมาฝากเสมอ จนวันหนึ่งพ่อได้มาไปฝาก ฝึกเรียนหมอลำกับสำนักงานหมอลำของ อ.ทองลือ แสนทวีสุข และ อ.ฉวีวรรณ ดำเนิน (ศิลปินแห่งชาติ ปี 2536) เรียนอยู่ประมาณ 2 ปี และในปี 2514 อ.อุไร สง่าจิตร หัวหน้าคณะอุบลพัฒนา เห็นว่ามีบทบาทการแสดงที่ดีประกอบกับมีสุ้มเสียงที่ไพเราะ จึงได้ให้เริ่มแสดงเป็นตัวประกอบก่อน และค่อยๆ พัฒนามาเป็นตัวนำ ?นางเอกของเรื่อง? และได้แสดงเป็นนางเอกเรื่องแรก คือลำเรื่องต่อกลอนเรื่อง นางนกกระยางขาว ซึ่งได้รับการตอบรับจากแฟนหมอลำ ทางภาคอีสานและภาคอื่นเป็นอย่างมาก จนมีผลงานออกมาต่อเนื่องเรื่อยมา

จนในปี 2517 จุดเปลี่ยนของอังคนางค์ คุณไชย น่าจะอยู่ที่อัลบั้มเพลง สาวอุบลรอรัก และเพลงพี่จ๋าหลับตาไว้ ที่ทำให้มีกลุ่มแฟนเพลงขยายออก อย่างกว้างขวาง จนเรียกได้ว่าเป็นเพลงแจ้งเกิดในวงการเพลงลูกทุ่งหมอลำ และในปี 2521 ได้ออกจากคณะอุบลพัฒนา มาตั้งคณะเป็นของตัวเอง ชื่อคณะเมืองดอกบัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากต้องลงทุนมาก และดูแลลูกน้องเกือบ 200 กว่าชีวิต

ในปี 2524 จึงตัดสินใจยุบคณะ และไปรวมกับคณะหมอลำเรื่องต่อกลอน คณะเพชรอุบล ของ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ทำให้เป็นมีชื่อเสียง และเป็นคู่ขวัญกันจนเรียกได้ว่าถ้าผิดจากคู่นี้ ไปคู่กับคนอื่นๆ ก็จะได้รับการต้อนรับที่น้อยมาก ระหว่างนั้นก็มีการออกอัลบั้มกับค่ายเพลงต่างๆ หลายๆ ค่าย ในสไตล์ลูกทุ่ง-หมอลำ ลำเพลิน ลำเต้ย ลำล่อง หรือการแสดงลำเรื่องต่อกลอนต่างๆ เรื่อยมา และผลงานเพลงสร้างชื่อให้กับอังคนางค์ คุณไชย มีอยู่หลายบทเพลง เช่น เพลงบ่าวภูไท , อีสานลำเพลิน , เสียงพิณบาดใจ , มีบ้างไหมรักจริง ฯลฯ ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ทำงานมา อังคนางค์ คุณไชย ได้ตั้งปณิธานว่า

"จะอุทิศชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ผลงานการแสดงศิลปะพื้นบ้านลูกทุ่งหมอลำ ให้ไว้เป็นมรดก ทางวัฒนธรรมการแสดงพื้นบ้านให้กับประชาชน และอนุชนรุ่นหลังสืบไปโดยมีโครงการจะเปิดเป็นโรงเรียนสอนการแสดงหมอลำพื้นบ้าน สำหรับ เยาวชนรุ่นลูก รุ่นหลาน ที่มีใจรักในการแสดง และการร้องหมอลำในจังหวัดที่ตนเองอยู่"

ปัจจุบัน อังคนางค์ คุณไชย มีผลงานอยู่กับบริษัท เทปบูรพา(1991) จำกัด ในผลงานลำเรื่องต่อกลอนเรื่อง ดาวลูกไก่ และงานเพลงสุดยอดลำเพลิน เป็นสาวรอบสอง และผลงานล่าสุดคือ สุดยอดลำเต้ย ผัวไปใต้หนู ซึ่งได้ร้องคู่ กับศิลปินแห่งชาติปี 2549 ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ซึ่งเป็นคู่ขวัญ คู่พระ คู่นาง กันมา ตลอด

อังคนางค์ คุณไชย ปัจจุบันได้ช่วยงานและรับงานส่วนตัวและยังได้รับเกียรติใด้ดำรงตำแหน่งกรรมการตัดสินการประกวดต่างๆสำคัญๆของทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น อีกด้วย

รางวัลและเกียรติคุณที่ได้รับ

  • ชนะเลิศการประกวดหมอลำเรื่องต่อกลอน
  • รับโล่เชิดชูเกียรติเป็นสุดยอดศิลปินพื้นบ้านอีสาน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • รับโล่เชิดชูเกียรติคุณ เป็นศิลปินดีเด่นจังหวัดอำนาจเจริญ สาขาศิลปะกรรมการแสดงพื้นบ้าน จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
  • รับโล่รางวัลเกียรติบัตรด้านศิลปะพื้นบ้านลำเรื่องต่อกลอน การแสดงเพลงลูกทุ่งอีสานจากหน่วยงานของราชการต่าง ๆ มากกว่า 30 รางวัล
  • รางวัลและการเชิดชูเกียรติ
  • ร่วมแสดงศิลปะพื้นบ้านหมอลำจัดโดยหน่วยงานราชการหลายแห่ง
  • ร่วมแสดงศิลปะพื้นบ้านลูกทุ่งอีสานในงานของจังหวัดและส่วนราชการหลายครั้ง
  • แสดงศิลปะพื้นบ้านลูกทุ่งหมอลำ ทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุหลายครั้ง
  • เป็นวิทยากรรับเชิญให้ส่วนราชการในการถ่ายทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านจนถึงปัจจุบัน หลายครั้งและหลายหน่วยงาน
  • ร่วมแสดงเผยแพร่ศิลปะการแสดงในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เยอรมันนี ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ

ลำยาวประวัติพระพุทธเจ้า โดย อังคนาง คุณไชย


บ่าวจีบสาวกล่าวผญา

 

                  
                         
                        บ่าวจีบสาวกล่าวผญาเข้ามาจาดอกเบิ่งแหน่
....

โอ้ยน้อ...นางเอ้ย
บุญกุศลสร้างได้ฮ่วมทางดอกจั่งหว่า
คงเป็นตาชื่นมื่นทุกคืนเช้าเจ้าหว่าใด๋
คันเจ้าไรลืมทิ่มคงขึ้นหนิมให้เขาส่า
เป็นคือจั่งมีดพร้าคันฝนได้กะบ่คม....สั้นแหล่ว..น้องสาวหล่าเอ้ย

หวังอันใด๋กะเพม้างบ่สมหวังดอกจักเถื่อ
เหลือแต่ใจนอฮ้างๆอดสาส่างหย่างเทียว
เหลียวทางใด๋กะมืดครึ้มอึมครึมหนทางหย่าง
ทางที่มีกะมาฮ้างๆหนทางน้อยจั่งข่อยเดิน..สั้นแหล่ว

 

เป็นจั่งใด๋น้อน้องชายหล่า.....สุขซมบายดีบ่อ
หรือเจ้าเจ็บป่วยไข้..............ฮมฮ้อนทั่วคิง
คือบ่อแวมาเข้า..................เวปผญาจักเที่อ
หรือว่าหมู่ข่อย...................เหมิดแล้วละไป่น้อ

บ่ได้มาสองสามมื้อคือจั่งหว่านอเป็นปีสันบ๋อ
ครั้นสิจากไปแรมเดือนใจผี่ซายคงอุกเอ้า..
เจ้าอย่าไรลืมเลี้ยวทางเทียวที่เคยหย่าง..
ใจผี่ซายคงอ้างว้างคันนางน้อยบ่หว่าจา..
แนวคำจายังบ่คล่องตามครรรองน้องส่อยเบิ่ง
ไปเหิงเหิงหากสิฮู้หว่าซายนั้นเฝ้าเบิ่งแยง..อยู่เด๊ะ..

น้องเอ้ย..
ถ่านไฟเก่าเจ้ายังฮ้อนมันบ่มอนดอกคือหว่า..
อย่าสุจาหลาบหล่ายหมายเว้าต่อผี่ซายดอกเด้..
คันหว่าเซถลาล้มไผบ่โซมอ้ายสิเบิ่งเอาดอกนา..
ไผบ่แยงบ่จาอ้ายนี่นาผัดคอยเว้านำเจ้าดอกอยู่เด้..
บ่ได้เป๋แปรปลิ้นดอกเด้นางอ้ายฮู้ส่าว..
แต่บางคราวบ่อยากเว้าซอมเบิ่งเจ้าอยู่แต่เหิง..
เบิ่งเหิงเหิงบ่คือเว้าใจเฮาบ่คือหว่า..
บ่เป็นหยังดอกน้องหล่าญาอ้ายดอกส่างเป็น..
บ่อยากเป็นแนวนี้ย้อนหวังดีเบิดถู่อย่าง..
บ่เคยคิดหมุ่นม้างเป็นใด๋นั้นบ่หว่านาง..
กะสิคอยเบิ่งเจ้าอันใด๋ดีสิชูส่งสั้นแหล่ว..
ย้อนหวังดีบ่หวังได้บัดใจนั้นผัดส่างเป็น..
เฮ็ดจั่งใด๋นอใจข่อยมันสำออยบ่คือหว่า..
เบิ่งกายากะบ่น้อยบัดใจนั้นผัดจ่อยผอม..

ผู้สาวนั่งเข็นฝ้าย ........ชายกะนั่งเคียงกัน
พรรณนาคำกลอน ......เกี้ยวคำผญาเว้า
สาวกะเอาคำโต้ .........โยเยให้ฮู้ท่า
ส่วนว่าบาบ่าวท้าว .......กะเพียรเว้าว่าฮักหลาย
สาวกะบอกว่าอ้าย ......อย่าสิหล่ายแต่คำตั๋ว
น้องนี่กลัวคำลวง .........อย่าล่วงวาจาดื้อ
คันบ่คือคำเว้า ........... อย่าสิเอามาเว้าว่า
สิมาต้มผู้ข้า ..............ปะเดี๋ยวฟ้าสิผ่าเอา....สาเด๋
บัดนี่ชายกะเว้า ......... เอามือยกสาบาน
ขานเป็นวาจาไข .........ว่าดั่งใจคำเว้า
คันข้าเอาคำต้ม ..........เป็นคารมย์เว้าหล่าย...สาแหล๋ว
ขอให้ฟ้าผ่าอ้าย ............ ให้ตายแท้ขั่นบ่จริง
สาวกะนั่งเงียบนิ่ง .........ครุ่นคิดอยู่ในใจ
แล้วจั่งไขวาจา ..........ตอบบาพี่ชายท้าว
อ้ายสิเอาจริงแท้ ..........บ่มีแปลซั่นบ้อพี่
คันคิดดีแท้แท้ ............ให้ถามแม่เบิ่งก่อนนา
ตกลงกันแล้วน่า .........กะจั่งว่าได้มาขอ
กะจั่งขอยอยก ...........ขันหมากมาเพียงพร้อม
จั่งได้ดอมชมชื่น ..........เข้าพาขวัญป้อนไข่หน่วย
นี่จั่งสมครบด้วย ..........บทเบื้องสิแต่งงาน ...นี่แหล่ว
นี่จั่งแม่นแบบบ้าน ..........ของเก่าโบราณเดิม
เติมขึ้นมาทีหลัง ............หากบ่คือแนวนี่
อันแนวดีมันเบิดสิ้น ........มีแต่กินแล้วจั่งแต่ง
สาวกะห่าวแข้งแข้ง ......... แซงหน้าบ่ว่ากัน ฯ...เหอะ ๆ...

นี่เป็นหนึ่งของคำผญาที่บ่าวศักดิ์ดามีโครงการว่าสิรวมเล่มเด้อพี่น้อง
ผญาบทนี่กะสิอยู่ในหมวดของ อีสานเบ็ดเตล็ด เพราะว่าพรรณาถึงเรื่องราวเก่าโบฮานของอีสานนั่นเองเนาะคับเนาะ

 

สิเว้าไปตามส่าว............ใจผู่สาวบ่คือหว่า
แฮ่งใจเฮากะผ่องนั้น.......บ่ทันฮู้หากบ่เจอ
คิดไปไกลใจเพ้อ...ละเมอไปเกือบหลงส่าว
ย้อนคิดนำผู่สาว..........ผัดโตเองบ่คิดย้อน
หลงนอนเพ้อ........โอ้ย!โตข่อยดอกส่างเป็น

 

อย่าสุลืมเด้อหล่าวันสงกรานต์ไกล้มาอ้ายยังถ่าสิพ้อพบ
ไกล้สิจบหละไป่นอน้องอ้ายครองถ่าสิพบเจอ
ไปเฮียนไกลต่างบ้านจากไปนานอ้ายฮอนฮ่ำ
อ้ายคึดนำแต่อี่น้องเฮียนจบแล้วอย่าสุลืม
เงินที่ยืมเขามานั้นส่งไป..ใช้พอบ่
อย่าลืมเด้ออี่น้องคนกู้ให้นั้นแหม่นไผ
ถึงสิทุกข์ยากฮ้ายเฮ็ดจั่งใด๋อยากพ้นทุกข์
จั่งได้มุมาดม้างยืมตังค์ให้ส่งเจ้าเฮียน

อ้ายบ่มีดอกเด้อหล่าปริญญาสิมาข่อง
มีแต่โตหล่องข่องกับใจน้อยค่อยก้าวเดิน
หวังมีเงินมีบ้านจั่งสู่งานอยู่เช้าข่ำ
เอาแฮงกายเข้าแลกเดินสู่ดอกส่าวไป
ฮอดยามใด๋คิดท้อยังคอยรอแฮงใจอยู่
จักผู่ใด๋สิฮู้แท้ในใจนั้นอ้ายส่างเหงา..แท้เด้
บ่เคยเคยคิดอุกเอ้าบ่เคยเหงาย้อนงานหย่าว
หวังเพียงแต่มื้ออื่นเช้าสิได้พ้อหม่อมพะนาง..
(แหม่ใหญ่ลีเลาฝากบอกเด้อ..เลาคิดฮอดลูกสาว..อิอิ)

คือส่างมาเฮ็ดตาส้มหลับตาชังใส่ญาผี่
บาดมาหาผัดแหล่นลี้เฮ็ดจั่งซี้สิคิดใด๋
ย้อนเดาใจน้องบ่ออกรึมารยาเต็มกระต่า
คือจั่งเผิ่นหว่าไว้เอาเกวียนร้อยใส่บ่พอ
เฮ็ดจั่งใด๋หละนออ้ายอันซายพึ่งหัดใหม่
อยากสิฮู้ใจ..ใสแจ้งอันควมแท้อยู่ใน..
เผิ่นหว่าใจคนนั้นคือเถาวัลย์พันเกี่ยว..สั้นบ้อ
คันบ่เหลียวกะบ่เว้าขอซอมเจ้าเบิ่งเอา
ทั้งที่ปากบอกไม่แต่ทางใจผัดคึดต่าง
ส่างสิเป็นคือเผิ่นเว้าสั้นตี้น้องแต่ก่อนเหิง
เบิ่งภายนอกนอสวยเช้งข้างในเจ้าสิจั่งใด๋
เป็นจั่งใด๋ให้ลองเว้าเป็นแนวใด๋กะลองกล่าว
อดสาสอนผู้บ่าวน้อยให้เฮียนฮู่แหน่เป็นหยัง
ย้านเป็นคือจั่งควมเขาเว้าสิลองฮักจักกี่หน..สั้นบ้อ
อ้ายบ่เอาดอกเด้อนางขอเถื่อเดียวกะพอแล้ว..อิอิ

เจ้าเอ้ย..หวังสิได้สุขใจเบิดถู่อย่าง..สั้นแหล่ว
บ่อยากคิดหมุ่นม้าง..แต่ใจอ้ายดอกส่างเป็น
เป็นกะเว็นกระวายเอ้า...ฮ้อนฮนจนหว่าป่วง!
จักเป็นหยังเด้เจ้า..นอโตอ้ายแหม่นส่างเป็น
บ่เคยเป็นแนวนี้..ทางใจผี่บ่เคยเป็น..
หนั่งคิดไปจนหว่าเย็นยังบ่เห็นทางหายเอ้า
ซอมโตเองคิดหลายหม่องมองโตเองคึดติต่าง
ส่างมาเป็นแนวนี้โอ้ยใจข่อยดอกส่างเป็น.

เจ้าเอ้ย..
คันหว่าคิดดีแล้วให้ตรองดูดอกสาก่อนเด๊ะนาง
บ่แหม่นหยังที่อ้ายเว้า..ย้อนห่วงเจ้าสิเก่าหมอง
ตามครรลองที่เผิ่นเว้า..ใจของเฮาเข้าใจข่อง
ให้เข้าใจตัวน้องส่วนโตชายนั้นแล้วแต่
แข่เข้าใจโตน้อง...ส่ำนี้ดอกแหม่นดี
ส่วนหว่าโตอ้ายนี้ย้อนคิดดีเบิดถู่อย่าง
บ่เคยคิดหมุ่นม้างเข้าใจเจ้าดอกสู่แนว
ส่วนหว่าเรื่องที่แล้วผ่านมาบ่คือคิด..สั้นบ้อนาง
เป็นจั่งใด๋อ้ายกะฮู้..โอ้ย! โตอ้ายหว่าสู่แนว
คันหว่าดีแล้วสิยู้...อ้ายสิชูดอกยู้ส่ง..สั้นแหล่ว
สมประสงค์โตเจ้าแล้ว..โตอ้ายจั่งสิหนี..อิอิ

เคยสัญญากับไผบ้างจำได้บ่นอคนดี
บัดนี้ฟ้าฝนมาเสียงคะนองเครงครื้น
เจ้าอย่ายืนกลางแจ้งให้ฟ้าวแหล่นหาหม่องหลบ..เด้อหละนาง
คำสัญญาบ่คือดังฟ้าสิผ่าเด๊ะหัวน้อง
อ้ายนี้คองคอยถ่าเจ้าสิจาบ่เห็นต่าว
ย้านหว่าลืมคำเว้าที่เคยอ้อนต่อผี่ซาย
ตามซำบายโลดเด้อน้องอ้ายบ่หว่าดอกเนียวใด๋
แต่บ่ซำบายใจย้อนสัญญาสาบานไว้
เฮ็ดจั่งใด๋ดอกเด้หล่าถอนคำจาโลดอ้ายหว่า
ย้อนหว่าห่วงเจ้านั้นน้า..ยามเสียงฟ้าคึกคะนอง..555

เจ้าเอ้ย..
เผิ่นหว่าน้ำโขงแฮ่ง..ชีมูลยังไหลอยู่
คันคูนาถ่าบักตู้..สิมาส่าวเอาฮุตนา
หายไปไสแล้วนอหล่าบ่กลับมาบ้านเก่า
อ้ายคองหาสิเห็นเจ้า..บัดยามเศร้าอยู่บ่เป็น
ยามตาเว็นต่ำคล้อยอ้ายหนั่งหงอยอยู่เลาะถ่ง
คึดพะวงแต่อี่น้อง..มื้อใด๋หล่าสิต่าวคืน
ตกกลางคืนหมอลำห่าวแต่โตเฮาผัดนอนถ่ง
ตกดึกมานอนสะดุ้ง..ย้อนสายมุ้งอ้ายหว่าหลุด..
บางคืนหลุดปากเว้า..คะนิงนำแต่เนื้ออุ่น
นอนอยู่เดียวเปนตาย้าน..ยามหมาหอนอ้ายใจสั่น
ฮอดยามหนาวนอนสะบั้นได้แต่ฝันดอกคือหว่า
บ่หลูโตนบ้อนอหล่าอดสาเว้าให้เบิ่งแยง
กินของแพงเผิ่นลืมเข้า..กินของเมาลืมน้ำโอ่ง
เหลียวเบิ่งโขงแห้งขอดคึดฮอดชู้อยู่บ่เป็น
นอนกางวันยังฝันพ้อ..โอ้ยนอนางสังมาหน่าย
ย้อนหว่าทุกข์ยากฮ้าย..เพียงฝันพ้อกะแหม่นดี
บ่ได้มีเนียวรั้ง..บ่มีหยังสิโอ้อ่าว..
ย้อนหว่าเฮาผู่ฮ้ายแถมพ่วงท้ายอ้ายหว่าจน.



น้องเอ้ย..
อ้ายนี้ใจประสงค์ส่างทางบ่มีกะได้ส่าว..ตั่วหละนาง
บัดทางมีจั่งได้ฟ้าวมาพบพ้อหม่อมพะนาง
เจ้าอย่าไรลืมเลี้ยวทางเทียวที่เคยหย่าง
ใจผี่ชายคงอ้างว้างคันนางน้องบ่หว่าจา
วันเวลาผ่านพ้นใจคนเฮาบ่คือหว่า..สั้นบ้อ
บ่ป็นหยังดอกเด้หล่าโตอ้ายกะหว่าเป็น..อิอิ

ปลากระดี่ได้น้ำฟ้าใหม่นอหลังฝน
คือจั่งคนอกหักฮักพังได้หนั่งเศร้า
บัดแต่มาเจอเจ้า..ใจชายสังมาสื่น..
หัวใจชายคะลาดลื่น..ยืนเศร้าอยู่บ่เป็น
คือน้ำเย็นชะโลมร่าง..แนมทางใด๋หัวใจสื่น
ควมขมขื่นแต่ครั้ง..มะลางเลื่อนจั่งหว่าหาย
ขอบใจหลายเด้หล่า..มาเป็นยาล้างใจผี่
เจ้าผู่ดีเด้จั่งน้องอ้ายคองถ่าอยู่แต่เฮิง...
ซอมเบิ่งเอาเด้อหล่าญาชายสิคือหว่าบ่นอ
ดำข่อหล่อนอต่ำต้อยหัวใจอ้ายสิแหม่นใส..บ่
เป็นจั่งใด๋ให้เฮียนฮู้ขอเป็นหมู่สาเป็นหยัง
บ่อยากเสี่ยงผิดหวังคือจั่งคราวแต่วันกี้
อ้ายนี้คนใจน้อยแต่ใจจริงจั่งคือหว่า..สั้นแหล่ว
ปรารถนาสิพบพ้อคนใจต้องหว่าข่องกัน.

เดือนสามคล้อยอ้ายยังคอยอยู่หม่องเก่า
จนหว่าเดือนสี่แล้วโอ้ยเดือนห้าสิต่าวถึง
จักอี่หยังดึงโตเจ้าหรือใจเขาคอยเฝ้าเกี่ยว
อ้ายนี้เหลียวพ้อว้อสิพบพ้อหน่อพะนาง
เป็นพิสังจั่งบ่ฮู้อ้ายถ่าอยู่เด้อแนวหลัง
เฮ้ดอี่หยังอยู่ไสนอ..อ้ายคนรอนี้รอเก้อ
คันไผเจอเธอฝากบอกให้แหน่แหม่ยังรอ
ผ่อกะคอยควมหวังลูกสาวจบสิคืนบ้าน
จากไปนานมิดสี่หลี่..บ่มีเค้าสิต่าวมา
สุขซำบายดีบ้อหล่าส่งข่าวมากะไคแหน่
อย่าให้แหม่เจ้าถ่าเถียงนาเศร้าเจ้าบ่มา
ปีใหม่เลยแล้วน้าสงกรานต์เลยกะบ่ต่าว
ฝากข่าวมาแหน่เด้อน้องไผคองถ่าอย่าสุลืม.

เหลียวไปทางอีสานกล้ำหนองคายบ้านผี่
ขี้ดินแดงไหง่ง่อง..พายุต้าวหย่าวบักเห็บ
เคยแหล่นเก็บกับอี่น้อง..คราวกี้ตั้งแต่เยาว์
จำได้บ่นอน้องเจ้าสองเฮาคราวหม่วนสื่น
หาเก็บฟืนดังข้างเล้า..ลมหนาวเข้าได้อุ่นคิง
ดังไฟผิงจี่เข้า..มันแกวน้อยส่อยกันหมก
บาดยามตกเดือนห้า..ฝนมาหัวลมป่วน
เคยเหล่นหม่วนกับอี่น้อง..ของเฮือนน้อย..อย่าสุลืม
ส่อยเว้าตื่มแหน่เด้อเจ้า..คันคึดฮอดอย่าสุลืม..เจ้าเอ้ย..

 
คึดฮอดน้องหลาย..ยามเดือนหงายได้แนมเบิ่ง
ขึ้นเทิงกกบักโกแล้ว..กะบ่มีคลื่นแหม่นได้โทร
อยากฮัลโหลไปเว้า..แต่ถึงคราวหัวลมป่วน
อยากมีหมู่หม่วนเว้า..บัดทางบ้านคลื่นบ่มี
เป็นจั่งซี้ตั่วหละเจ้า..บ้านของเฮานอบ้านถ่ง
พกมือถือไปเกี่ยวเข้า..แต่คนเว้าหักบ่มี
พอสิมีผัดบ่เว้า..บาดยามเฮาปีนกกก่อง
ย้อนอยากเว้ากับอี่น้องจั่งโสขึ้นดอกป่ายปีน
บ่ได้ยินอีหลีเบ๊าะ..หรือหว่าคุยกับทางอื่น
อ้ายหนิทนข่มขื่น..ย้อนหว่าฝืนขึ้นต้นไม้หาคลื่นกะบ่เจอ..555

นางเอ้ย..นางมาลืมกะแล่มจ้อย.อ้ายคอยจนหว่าเปื่อย..วันเวลาผ่านไปเรื่อย.ไอติมนั้นเผิ่นบ่กิน..หันไปกินของทางพู้น.ลืมแล้วบ่ไอติมแถ่ง..น้องเคยแบ่งกินกับอ้าย.คราวกี้แต่เยาว์..โอ้นอสาวคราวกี้.ของหวานนั้นหมากเล็บแมว..ลืมแล้วบ้อหมากเหม่า.เฮาเคยกินจนลิ้นด่าง..อ้ายกับนางยังเคยเว้าตอนขุดเบ้าอยู่เลาะโพน
ยังเคยโตนน้ำเหล่นจนตาเว็นเบิดแสงส่อง..หย่างนำทางเสียงเขียดฮ้องมีสุขแท้ตั้งแต่หลัง..บาดนี้นอลาเฮือนบ้าน.หนีอีสานมากรุงใหญ่..ทำงานอยู่หม่องใด๋.ส่งควมไปกะบ่พ้อ.อ้ายรอน้องสิต่าวคืน..เจ้าเอ้ย..

ฝนตกรินไหลย้อย..อ้ายคอยนางใจวอนหวี่..จนหว่าเบิดเดือนสี่..เดือนห้ามาแล้วเด้อน้อง..อ้ายคองถ่าเจ้าแต่เหิง..เหลียวไปทางแก่วก้ำ..เขาใหญ่เมืองภูพาน..คึดฮอดเด้ตาหวานบ่าวผี่ชายเคยวอนเว้า..เจ้ามาไรลืมอ้ายบ่าวภูไทเสียงเหน่อๆ..หรือหว่าเธอบ่คึดง้อคราวกี้แต่หลัง..หรือหว่านางใจเลี้ยวเกี้ยวชายนอคนใหม่..ปล่อยให้ชายถ่าพ้อว้อ..โอ้ยนอเจ้าดอกส่างเป็น..


คันเจ้าไรลืมลืมเลี้ยว..ปั้นเข้าเหนียวเคยจ้ำป่น
หรือลืมคนจั่งอ้ายแล้ว..ทางยายเถ่าเจ้าอย่าลืม
ฮอดยามใด๋ฟ้ามืดคลึ้ม....ยังบ่ลืมคำแหม่หว่า
ฟ้าวกินปลากินเข้า..หัวลมหย่าวไฟสิดับ
คือสิดับ..แสงเฮืองๆขี้กระบองนออันน้อย
คันหว่าไรลืมข่อย..อย่าสุลืมคนชูส่ง..เด้อนาง
ยามฝนลงแล้วคล้อย..ยายเฝ้าคอยแนมทางต่าว
หวังสิเห็นโตเจ้า..เลาหนั่งเศร้าห่าฝนซา..
ฝากบอกสาวให้คืนบ้าน..อ่วยต่าวแหน่เด้อนาง
ผู่เผิ่นคอย..ควมเผิ่นหวัง..อยากเห็นนางอ่วยมาบ้าน..

นางเอ้ย..อย่าทำเฉยหลายเด้อหล่าให้จามาจักหน่อย..
อ้ายนี้คอยคิดวุ่นกินเข้ากะบ่ลง..นี้หละนอคำเผิ่นเว้าต้องเจอเอาจั่งสิจื่อ..คือจั่งคำจาเว้าผู่เฒ่าเผิ่นกล่าวสอน..บัดยามนอนกะฝันเพ้อละเมอไปนอหลายส่าว..ย้อนถืกสาวขี้เดื้อตั๋วอ้ายให้คิดนำ..ส่างมาทำลงได้บักหัวใจมันบ่จื่อ..ส่างบ่คือจั่งเว้าใจอ้ายดอกส่างเป็น..กรรมหรือเวรนำส่างสิหาหยังมาไสส่ง..ย้อนพะวงเอาเป็นฮ้าย..ใจข่อยส่างเป็น..

ลืมหละบ้อนอหล่าป่นปลาเทิงอ่อมเอี่ยน..ปลาตะเพียนลาบก้อยเคยได้อยู่กิน..ผักกระถิ่นข้างฮั้วจ้ำป่นนัวน้องยังหว่า..ยามฝนมาหว่านกล้าปลาขี้คาดได้แหล่นเก็บ..เสร็จจากงานหว่านกล้าปลากัดนาอ้ายโตเก่ง.."โสกแสง"เด้อหัวนาอ้ายกัดได้..บ่ย้านหว่าไผ.ปลากัดไทยปลากัดหม้อ..ปลากัดตอข้างหัวถ่ง..ส่อนมาลงขวดโหลไว้หาเหยื่อให้เลี้ยงอย่างดี..คึดเบิ่งตี้คราวกี้แสนสุขขีลูกบ้านป่า..เสร็จจากไห่จากนาหนังขายยาแจกเข้าหมอลำซิ่งหย่าวงัน..บ่คือฝันสั้นบ้อน้องจั่งหนีไกลไรลืมถ่ง..สมประสงค์เจ้าแล้ว..โตอ้ายกะอยู่ดี..


 

บ่ได้ไรลืมถิ่ม..ถิ่นฐานบ้านเกิดเก่า
ใจหมู่เฮายังอยู่ใกล้..ถึงโตนั้นสิห่างไกล
เป็นจั่งใด๋สั้นนอเจ้า..บ่เห็นต่าวบัดยามบุญ
หรือแหม่คุณลืมหลง..ถิ่มบ้านนาบ่มาจ้อย
อ้ายนี้คอยนางหล่าสิต่าวมา..ปั้นเข้าจี่
ไนบักมี้คอยถ่าเจ้า..กองไฟน้อยมอดมิดมอน
หนีไปนอนไสนอหล่า..ลืมเถียงนาเคยนอนถ่ง
อ้ายพะวงห่วงอี่น้อง..คันหมองเศร้าให้ต่าวคืน..เด้อน้องเอ้ย

ทางปลายนาฟ้าเหลื่อม..หัวนาดอนขี้ฝ่าหม่น
คึดฮอดเด้..คำลังคนแต่กี้เคยจาเว้าต่อผี่ซาย
ฝนตกรินฮางรินย้อยอ้ายหนั่งหงอยอยู่หัวถ่ง
ยามฝนลงเหร่งจ้าวหลบฝนฟ้าถ่าอยู่เถียง
แสงเฮืองๆยามข่ำคล้อยอ่อมบักหอยแนวเจ้ามัก
เทิงแกงผักอ่อมสิ้น..ในถั่วดินขุดข้างไห่
ต้มไก่ป่าหมกหน่อไม้..อ่อมเห็ดเผิ่งเจ้าส่างลืม..

ได้ฟังคำวาจาต้านน้องคึดอ่านไปทางใด๋
อ้ายสิไขควมจริงให้หลิ่งฟังแหน่เด้อน้อง
เว้าไปหลายมันบ่คล่องคือดั่งใจประสงค์
ทางวาจาหว่าโทงโทงแต่ในใจบ่คือเว้า
ให้คึดเอาให้ถืกข้ออย่าหน้างอยามอ้ายหว่า
ย้อนหวังดีนั้นดอกน่าจั่งจาเว้าหว่ากล่าวไป
คึดดีๆอย่าคึดหน่อยให้เจ้าค่อยเพียรศึกษา
ให้เวลานำพาสุขแนวทุกข์หยังให้วางเว้น
ให้เจ้าเป็นคนฮู้..ใจผู่อื่นเป็นแนวใด๋
แล้วโตเองเป็นแนวใด๋ให้เบิ่งแยงแสดงเว้า
อย่าได้เอาแต่ฮ้อนด้ามดั่งใจให้คึดก่อน
ฟังสาก่อนผู่อื่นเว้าแนวดีเอาเข้ามาคิด
จักสิผิดหรือถืกต้องตรองดูถ่อนก่อนแถลง.


นางเอ้ย..
อ้ายบ่เคยแปรปลิ้น..เปลียนแปลงเป็นลายต่าง
ย้อนหว่าใจประสงค์เจ้า..จั่งครวญเว้ากล่าวผญา
ลืมแล้วบ้อนอน้องหล่า..ป่นปลาเข็งเทิงแกงอ่อม
ก้อยกะปอมบักหม่วงน้อย..ทางเจ้าข่อยได้อยู่กิน
ยอดกระถินอยู่ข้างฮั้ว..กินกับป่นปลานัวเจ้ายังหว่า
ฮอดยามไห่ยามนา..ฝนตกมาน้ำห่งถ่งนาน้อยจั่งสมุทร
เห็ดเผาะผุดพี้ลี้..เหลียวทางพู้นทางพี้จูมจี๋กระเจียวป่ง
แนมปลายถ่งใต้กกหว้า..เห็ดเผิ่งน้อยดอกอยู่เต็ม
สิแกงเค็มแกงเปรี้ยว..ส่วนกระเจียวลวกกับป่น
ผักกระโดนหมู่นั้นเข้ากันแท้..แหม่นมักหลาย
ผักติ้วนำเก็บมาไว้..ถ่าใส่แกงเห็ดเผาะอ่อน
เทิงเห็ดขอน..เห็ดปลวก..จักลวกกินเทิงสิป่น
เว้าไปโดนอดบ่ได้...สิไปแล้วหว่าซื้อกินสั้นแหล่ว..
ตลาดนัดเด้อมีขาย...5555..


ว่าโอน้ออ้ายเอ้ย
น้องบ่มีลืมได้.............อาหารเก่าที่เคยกิน
ผักอีฮีนผักแพว...........แม่นอี่นางกะจำได้
น้องบ่เคยลืมซ้ำ...........อีสานคำบ้านเคยอยู่
ยังคึดฮอดอยู่สู่มื้อ........ยังฝันพ้ออยู่สู่คืน
อ้ายเอ้ยบางมื้อยืนมองมองฟ้า.....หันหน้าต่าวคืนอีสาน
ย่านอ้ายลืมคำจา.........ฝากฮักนางแต่คาวพุ่น
ย่านแต่บุญของน้อง......บ่สมพอสิได้ฮ่วม
ย่านแต่ควมฮักน้อง.......เป็นของเล่นบ่าวพี่ชาย..นั้นแหล้ว..อ้ายเอ้ย

สวัสดีน้องชายหล่า มื้อนี้อ้ายขอเป็นผู้สาวเด้อ
บ่อมีผู้สาวมาเว้านำหลาย 555555 เอาขำๆ ละกัน

นางเอ้ย..อ้ายบ่ติดอกเด้น้องคันลืมนาปะถิ่มไห่
อ้ายหวั่นใจแต่แหม่เจ้า..ผู่เนาบ้านอยู่ผู่เดียว..เด้นาง
คันบ่เหลียว..บ่ต่าวย้อน..บ่คืนคอนอ้ายบ่หว่า..ดอกเด้นาง
ให้เหลียวแลมองมาหลัง..ผู่หนั่งคอยแหม่นไผน้อง
ยามฟ้าหมองฝนแหล่..ดอกแคปลิวสายลมห่วน
ให้เจ้าหวนคึดพ้อ..แหน่เด้อน้องแหม่พะนาง..


อ้ายบ่ฮู้ดอกเด้อหล่า อนาคตสิเป็นได๋
ลมหายใจสิขาดหาย หรือมื้อได๋โลกสิม้าง
บนเส้นทางความฝันพี่ ขอมีเธอคอยเคียงคู่
กี่ฤดูที่เคลื่อนย้าย กาลกายพ้นอีกกี่วัน
บ่สนใจดอกฟ้านั้น สิปันแบ่งพรหมลิขิต
เนรมิตขีดแนวได๋ ขอเพียงใจอ้ายคู่เจ้า
สิขอเหมาเหมิดใจอ้าย มอบถวายแทบบาทอุ่น
ขอเทิดทูนด้วยรักแท้ มีแต่เจ้าตราบนิรันดร์
เธอคนเดียวเพียงท่อนั้น ที่สำคัญในใจพี่
ชั่วชีวีขอฮักเจ้า จวบจนเฒ่าชีพสลาย
จนไปฮอดมื้อสุดท้าย แม้ร่างกายไร้วิญญาณ
เวลาผ่านนานปานได๋ รักเหมิดใจยังคงหมั่น
ขอฝ่าฟันดั้นดิ้นด้น สู้เพื่อคนที่ฮักแน่
ด้วยหัวใจที่รักแท้ หมั่นแน่วแน่ต่อรักเธอ
จากนี้เด้อ...จากนี้ไปภายหน้า ขอสัญญาด้วยใจภักดิ์
ทุกหยาดเหงื่อเพื่อคนฮัก สิขอรักบ่แปรปิ้น ขอดินฟ้า..เป็นพยาน..

สายฝนฝู่ซู่ซัดสพัดไหว ลมตีตึ้งโตต้อยตรอมตรม

ลมพัดห่าว หน๊าวในในใจโหลดสั่น สุดสะบั้นปานฟ้าต้อยตี
พิรุณมี ฟ้าฮ้อง....เปรี๊ยง เสี๊ยงดังสะท้านท่ง
ใจอนงค์หลงป่วงเว้า นำเจ้ายุเถียงนา
แก้วคำหล่ายัง นังถ่ายุหม่องเก่า
เข้าหน้าฝน พ้นหน้าฮ้อน ออนซอนเด้สิเฮ็ดนา
บางคนเริ่มได้กล้า เตรียมไถนาสิลงท่ง
บ้างข้าวกล้าเริ่มป่ง แต่อนงค์ยังคอยท่า อ้ายของหล่าบ่ต่าวมา

เพิ่นไปค้าในเมืองกรุง ลืมผ้านุ่งแล้วติผี๋
ไปหลงสาวผุดี สายเดี่ยวตี้ใส่ซ่งน้อง ลืมเสียงฆ้องอ้ายจากมา
ลืมพิณแคนแจ่นจ้า แลนเข้าหาสู่สตริง
ไปเริงหญิงใหม่ซ่น ปล่อยให้คนท่าหล่ำล่ำ
อ้ายก้อนคำ คันได้ยินเสียงฟ้าฮ้อง
คือจั่งน้อง.....ก่องน้ำตา นั้นแหล่ว
หล่านางเอย เจ้ายังเป็นแก่นนำอ้าย ที่พาใจให้สู้ต่อ
กี่ พ. ศ. ที่ผ่านพ้น ยังทนข้างบ่ห่างลา
ยังอาสาคอยเคียงใกล้ นั่งซบไหลยามเสียหลัง
ยังเป็นหลังของแรงใจ บ่เปลี่ยนไปยังคงที่
คอยอาสามาเคียงข้าง เรื่องต่างๆบ่เคยกลัว
ฟ้าสิมัวหรือแดดจ้า ยังพ้อหน้าอยู่ทุกยาม
หล่าคำแพงคนงามอ้าย ขอบคุณหลายเด้อเนื้ออุ่น
ที่ลงทุ่นกับฮักอ้าย ชายคนนี้บ่ห่างไกล
ทุกข์ปานได๋ยังมีเจ้า สู้เป็นเงาถ้าเคียงคู่

ที่อ้ายอยู่ทุกมื้อนี้ เพราะเจ้าเป็นคู่ใจ...ละเด้อ

ความคิดถึง ความคิดฮอด ที่หยอดไส่ในใจเขา แม่นลืมเฮาหรือยังน้อ คราวพะนอก๋อแขนเจ้า
ฝากลมเหงาไปถามส่อ ลืมหล่ะบ้อ ความไหวหวั่น บอกฮักกันเพียงปากเว้า มื้อเก่าแล้วย่านแม่นลืม
จากเคยยืมบ่าข้างซ้าย อิงอกชายตอนหดหู่ คำติดหูว่าฮักเจ้า ไผน้อเว้า จำบ่น้อ
วันเดือนรอพอศอร้าง เกิดความห่างทางเลยไกล ฮู้บ่ไผน้อห่วงหา จึงกล่าวจาคิดถึงเจ้า
เดินตามเหงาบ่เคยเว้น หนาวจันทร์เพ็ญมื้อโดดเดี่ยว ใจดวงเดียวที่อ้างว้าง คนเคียงข้างเผิ่นอยู่ไส
สาวคนไกลคิดถึงอ้าย บ่เคยกลายไปเป็นอื่น พร้อมหยัดยืนคำฮักมั่น ทุกวันมื้อยังคิดถึงเด้ออ้ายเอ๊ยยย

ฟังเสียงฟ้าฮ่ำฮ้อง เบิกล่องระงมบน
อุทกธาราไหล เลียบลงหนองคลองห้วย
สายฝนฮวยฮำพื้น แผ่นดินคืนความอึนซุ่ม
หม่องเลิงลุ่มคุ่มคล้อย พลอยจื้นเจิ่งนอง
หมู่มัจฉาลอยละล่อง พ่องบุกบืนซื่นน้ำใหม่
ฝูงหมู่กบออกจากไง หาวางไข่นำแจส่าง พลางซ้อนซบฮู
ลูกกะปูพากันย้าย กลายจากแหล่งรี่ลงหนอง
มองเป็นสายลายทาง ข้างคูแทแล้วแว่ซ้น
ฝูงหมู่คนกะโดยด้าม กสิกรรมนำนาไฮ่
ขับรถไถแตกวึ้นๆ ดังปรื้นๆทั่วท่งนา
ถึงฤดูหว่านข้าวกล้า ผู้มีนาหม่องคล้อยคุ่ม
เตินหมู่ซุมพี่น้อง เทิ่งผองเพื่อนเพื่อซ่อยแฮง
สุราแผ่งแข่งแดดกล้า ได้คันนาตางบาร์นั่ง
บางคนกินบ่ระวัง นั่งโงกเงกหลูบหล่วย หน้าหงวยง้ำ..จ้ำใส่ดิน...ฮ่าๆๆๆ


บุญบ่สมซาติซั้น แม่นฝันไปกะแล้งเปล่า ดอกคนเอ้ย
อยากให้เป็นดั่งวาทเว้า มีแต่มื้อสิพ่ายเพ แท้นอ
อุกใจเด้อยากนอนดิ้น ขดลงดิน เกลือกขี้เถ้า เบิ่งเด้น้อ
ให้มันตายมอดเมี้ยน สาแล้วสิส่วงใจ
เว้านำไผมีแต่พลอยสิเป็นฮ้าง แนวอ้ายบ่สมนาง กะเลยต้องจำพ่าย
หล่านางเอ้ย บ่ต้องห่วงพี่ซาย แม่นเป็นผีอยู่ป่าไม้บ่ลืมน้อง จงเชื่อใจ พี่เถาะ
ดวงเอ้ยดวงดอกไม้ ผุเคยกล่อม หอมหวน
เจ้าอย่าสาละวนคิด ห่วงพี่ซายผุเคยเกี้ยว
บุญของเฮา บ่ได้เทียวทางร่วม แม่นสิเอาแขนสวม กอดไว้กะบ่อยู่ ดอกนางเอ้ย
บุญเป็นได้แค่ซู้ บ่หวังซ้อนได้ฮ่วมหมอน
พรมลิขิตเพิ่นขีดต้อน ให้เฮาห่าง ไกลกัน
อย่าโศกสันต์เด้อคนดี อย่าสุมีใจเศร้า
ให้นางเอาใจเข้า ไปหาเขาผุเพิ่นแม่น พุ้นเด้อหล่า
วางแขนอ้ายสาน้อง อย่ามัวคล้อง จ่องดึง
ความฮักหล่าอ้ายกะซึ้ง บ่เคยโทษอุ่นจักแนว
ขอบูชาความฮัก หม่อมพระนางบ่เพม้าง
ทางสดใสข้างหน้า ยังรอน้อง ด.ม.ป.ไปถึงให้เฮืองฮุ่ง
ตัวอ้ายสิซ่อยยู้ อยู่หลังให้ ท่าส่งเสริญ
สองมือปองพนมเอิ้น ฮ้องเฮียกสิ่งศักสิทธิ์ ขอจ่งมาเนรมิต ป่องทางให้นางน้อง
ปูด้วยทองโรยด้วยแก้ว แนวมณีอันมีค่า
ให้น้องเดินตามมรรคาป่องสวรรค์เพิ่นเสกสร้าง นางน้องอย่าห่วงหลัง เด้อหล่า นางฟ้าของอ้าย

 

ติงแต่งต้อย ฮีตฮอยอีสานเก่า ที่เคยฟังแต่เค้า สิเข้าสู่กะรบวน
นงค์นางหล่า นวยนารถน้องหญิง เกิดเป็นหยิง ให้ตริตรองตนต้าน
ขานไขข้อ ต่อกระบวนยอยื่น ไผ๋ที่ฝืนเฮ็ดได้ ซ๊ายได๋พ้อ ดีล้ำลื่นคน
ฟังสนทนาจาต้าน เฮือนสามน้ำสึ่ มีคติสิเขียนไว้ ไขแจ้งให้เฮ็ดเอา

เฮือนสาม

อันหนี่งนั้น สิขานต่อคือเฮือนผม สาวคนงาม ให้หมั่นแปรงหวีม้วน
อันที่สอง เฮือนกายนั้น นวลนารถน้อง ให้ครองตนให้สะอาด
ให้ผุดผาดแช่มซ้อย ซ๊ายใหญ่น้อย เพิ่นอยากแล
อันที่สาม เฮือนครัว หม่องเฮาหาหุงต้ม ให้เจ้างมเจ้าล้าง ครัวเฮือนให้ใส่ผ่อง
อย่าให้มีฝุนกอง หมองเศร้าเก่าใน นั้นแหล่ว

(เฮือน,เรือน )

สรุปเฮือนสามมีสามอย่างง่ายๆค่ะ ๑)เรือนผม ๒) เรือนกาย ๓) เรือนครัว

                     ฮู้เต็มอกอยู่ดอกหล่า ว่าบ่มีสิทธ์หึงหวง
                     อยากเดินควงกะแค่ฝัน บ่มีวันเป็นจริงได้
                     เจ็บส่ำได๋อ้ายทนสู้ ทนจมอยู่กับความเหงา
                      ยามเห็นเขาควงเธอเดิน เจ็บเหลือเกินทางใจอ้าย
                     เวลากายหลายวันพ้น ทนทรมานนานคักแน่
                     คันบ่มักบ่ฮักแท้ สิแคร์เจ้าอยู่ผู้เดียว เฮ็ดหยัง
ในหัวใจคิดต่อตั้ง ด้วยหวังว่าเห็นเธอสุข
แสนสิทุกข์ทรมาน นานปานได๋กะทนได้
ขอปล่อยใจไปแนวนี้ แม่นบ่มีหวังกะส่าง
ขอแค่ใจได้ฮักบ้าง เติมฝันฮ้างแต่ละวัน
มีสิทธิ์..แค่ได้รักเพียงท่อนั้น บ่มีวันได้หัวใจ
เจ็บเรื่อยไปจำใจทน ดั่งไฟลนมะโนเนื้อ
บ่แม่นเพื่ออยากเรียกร้อง สิ่งต้องการจั่งต้านกล่าว
เหตุผลเดียวที่ทนเอา เฝ้าทรมานนานมื้อ กะคืออ้าย..รักเธอ..

หลูโตนใจเจ้าของฮ่าย...ฟายน้ำตา เป็นบ้าป่วง
คนเคยฮัก ใจเคยหวง หลุดมือแล้วถิ่มฮอยแป้ว ให้ครวญหา
หวานเด้น้อคำว่า"รักทอฟ้า" กะอย่าเอามาเปรียบ
อย่าเอามาเทียบความฮักเฮาให้ต่อกันในวันนั้น
ชายเอ๊ย...ชายผู้องค์อินทร์แกล้งปั้นแต่งให้น้องหลง
ให้น้องฮักจนงง พะวงนำแต่คำอ้าย
หวานเหลือฮ้าย ยามพี่ชายออดอ้อนวา
            "แพงเจ้าป่านหน่วยตา ฮักเจ้าป่านหน่วยแก้ว" ฟังแล้วซุมฮอดใจ
              หนุนตักนอน อ้อนคำเว้า ภาพเก่าๆยังติดตา
              บายแก้มขวาหยิกแก้มซ้ายป่วนใจจนคีงฮ้อน
              ฮอดยามนอนวา "ฝันดีเด้อหล้า" ข้อความมาให้เนื้ออุ่น
              เจ้าผู้แก้มจุ่นพุนของบักอ้าย อย่าฝันฮอดแหม่นผู้ได๋ เด้อนาง .....
ชายเอ๊ย... เจ้าผู้พวงดอกซ้อน น้องอยากซ้อน ซ่อนเสี่ยงไว้ในใจ
บ่ให้พ้อผู้ได๋ ให้อยู่ในแต่ใจน้อง
แต่ความจริงแล้วบ่มีไผ๋ ครอบครองไผ๋ ได้คือวา
แพ้ทางวาสนาได้แต่ยอมปล่อยฮ่าง วางอ้ายให้เพิ่นเขา
วาสนาหน่อย สุดมือสอย กะต้องปล่อย
คงเหลือไว้แต่ฮอยดอกรักร่วง กลีบหล่นลงดิน
หอมเอ้ย..หอมกลิ่นดอกวาสนาหอมมาในมือเพิ่น
กลบกลิ่นดอกรักร้าว จั่กสิเอิ้นอ้ายคืนดอกจั่งได๋

คำผญาภาษิต

.. ลักษณะทางเนื้อหา

คำผญาภาษิต คือคำสอนที่แฝงคติธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำไพเราะสละสลวยรัดกุม บางครั้งเรียก ผญาก้อม มีนัยเชิงเปรียบเป็นอุปมาอุปไมย เพื่อให้ผู้ฟังหรืออ่านตีความหมายเองเองเช่นเดียวกับคำสุภาษิตภาคกลาง ซึ่งผู้ที่ได้ยินได้ฟังสามารถนำไปประพฤติในทางดีงามหรือที่ถูกที่ควรได้ ดังตัวอย่างนี้ ทุกข์ยากไฮ้ขอขอดแลงงาย อย่าสุลืมคำสัตย์เที่ยงจริงคำมั่น ( ทุกข์ยากไร้เพียงใดก็อย่าลืมคำสัตย์ คำจริง คำมั่นสัญญา)

การสอนคนให้รู้จักรักษาคำมั่นสัญญาถือว่าเป็นคุณธรรมสูงสุดที่มนุษย์ควรใส่ใจเพราะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าคนจะต้องสัมพันธ์ต่อกันทั้งในระดับปัจเจกชนหรือระดับมหาชน คำสัตย์ย่อมเป็นฐานรับรองว่าเป็นคนดีที่สังคมต้องการ ส่วนความลำบากที่เกิดเพราะความขาดแคลนอาหารนั้นยังพอทนได้ สุภาษิตนี้เน้นให้เห็นถึงความชื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเป็นหลักการและวิธีการต่างๆที่ช่วยให้ชุมชนชาวอีสานมีคุณธรรมและจริยธรรมเพิ่มมากขึ้น ตลอดถึงให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ และ มุ่งแนะนำชาวบ้านอยู่กันด้วยความรักสามัคคีต่อกันไม่เบียดเบียนน พร่ำสอนให้ชาวบ้านรู้จักการเสียสละมีเมตตาต่อกันเว้นจากการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ส่งเสริมระบบสังคมสงเคราะห์ให้คนอยู่ด้วยกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่ไม่เอาเปรียบกันและกัน การช่วยเหลือกัน การพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าชายหรือหญิง ไพร่ผู้ดีมีหรือจนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน คนรวยก็ช่วยเหลือคนจนด้วยการแบ่งปัน ผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือเด็กด้วยการคุ้มครองป้องกัน ท่านอุปมาไว้เหมือนดังน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดังคำกลอนดังนี้คือ

มวงพี่น้อง ต้องเพิ่งพากัน                  คราวเป็นตาย ช่วยกันปองป้าน

ยามมีให้ ปุนปันแจกแบ่ง                   คราวทุกข์ใฮ้ ปุนป้องช่วยปอง

เทียมดังดงป่าไม้ ได้เพิ่งยังเสือ         คนบ่ไปฟังตัด คอบเสือเขาย้าน

เสือก็อาศัยไม้ ในดงคอนป่า              ฝูงหมู่คนบ่ฆ่า เสือได้คอบดง203

เนื้อหาแห่งคำสุภาษิตอีสานที่มุ่งจะสอนให้ชาวอีสานนั้นเข้าใจชีวิตว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่อยู่ในอำนาจของบุคคลใด คือมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งธรรมดา พร้อมทั้งสอนให้รู้จักทำช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ ความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านในการทำงานและให้รู้จักอดอ้อมทรัพย์ไว้ใช้ในคราวจำเป็น เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน ให้รู้จักการผูกมิตรไมตรีต่อกันจะได้เป็นเกาะป้องกันความเสื่อมด้วยและจะได้ช่วยกันในยามทุกข์ สั่งสอนให้รู้จักทำงานอย่ารอคอยโชควาสนา ความมั่งมีหรือยากจนนั้น ความรวยหรือจนนั้นเป็นของกลางๆไม่เป็นของใครโดยตรงอยู่ที่ว่าใครจะนำเอาโอกาสนั้นๆมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตนเอง ดังคำกลอนดังนี้คือ

อันหนึ่งครั้นอยู่บ้าน หรือถิ่นแดนใด           ครั้นเฮาทำความดี โชคชัยมีหั้น

ครั้นเฮาหนีจากบ้าน ไปเนาในอื่น             ครั้นเฮาฮีบก่อสร้าง ชัยนั้นแล่นเถิง

ส่วนว่าคนขี้คร้าน แม้นอยู่ในใด                เถิงจักนอนกองเงิน ช่างตามคำแล้ว

มื้อหนึ่งเขาจักต้อง หากินดอมไก่               แลเล่านอนสาดเหี้ยน เม็นน้อยไต่ตอม210

ความอดทนต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายนั้นเป็นที่รู้กันดีในสายเลือดชาวอีสานเพราะอิทธิพลของคำสอนเหล่านี้เองเป็นแก่นสารที่ช่วยให้ชาวอีสานไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นสุภาษิตอีสานก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ

หลักการปกครองในระดับท้องถิ่นหรือในระดับประเทศควรมีคุณธรรม กล่าวคือให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร เว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคมและอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้รู้เท่าทันกับโลกธรรม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องประโยชน์สุขแก่มหาชน ปรัชญาพื้นฐานของนักปกครองที่ดีหวังความสุขต่อส่วนรวมนั้นควรเว้นจากการมีอคติสี่ตลอดถึงให้ระงับความโกรธต่างๆด้วย ยิ่งเป็นข้าราชการควรคำนึงมาก ดังคำสอนนี้

อันว่าจอมราชาเหมือนพ่อคิงเขาแท้จิ่ง ให้ไลเสียถิ้มอะคะติทั้งสี่ พญาเอย

โทสาทำโทษฮ้ายโกธากริ้วโกรธแท้เนอ จงให้อินดูฝูงไพร่น้อยชาวบ้านทั่วเมือง

ชาติที่เป็นพญานี้อย่ามีใจฮักเบี่ยงพญาเอย อย่าได้คึดอยากได้ของข้าไพร่เมืองเจ้าเอย

ละอะคะติสี่นี้ได้จึงควรสืบเสวยเมือง ทงสมบัติครองเมืองชอบธรรมควรแท้197

นักปรัชญาอีสานมีทรรศนะต่อชีวิตอย่างไรนั้น ถ้านำหลักทางจริยธรรมมากล่าวก็จะสามารถมองถึงพื้นฐานของชีวิตได้เป็นอย่างดี นั้นคือทุกชีวิตควรกระทำอย่างไรจึงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้นควรมองว่าชีวิตควรประพฤติอย่างไรจึงจะพบกับความสุข นั้นเป็นปัญหาเชิงญาณวิทยาจะต้องแสวงหาความรู้มาเป็นคำตอบ แต่ปรัชญาชาวบ้านนั้นมักจะมองถึงความสัมพันธ์สิ่งที่จะต้องเว้นให้หางมากกว่าชึ่งปรากฏในปรัชชาวอีสานเว้นจากสิ่งที่เป็นบาปกรรม คือให้รักษาศีลห้า ดังคำสอนนี้

คือว่าปาณานั้นบ่ให้ฆ่ามวลหมู่ชีวิต อทินนาบ่ให้ลักโลภของเขาแท้

กาเมบ่ให้หาเสพเล่นกามคุณผิดฮีต เจ้าของมีอย่าใกล้ให้หนีเว้นหลีกไกล

อันว่ามุสานั้นคำจาอย่าตั่วะหล่าย คำสัจจะมีเที่ยงมั่นระวังไว้ใส่ใจ

โตที่ห้าคือสุราปัญหาใหญ่ ฮอดเมรัยอย่าได้ใกล้มวลนี้สิบ่ดี

เสียสติจริงแท้กรรมเวรบ่ได้ปล่อย ความถ้อยฮ้ายสิไหลเข้าสู่ตัว

นั้นเป็นขั้นมูลฐานของชีวิตจริงๆ ซึ่งชนชาวอีสานยังดำรงยึดมั่นในคำสอนเหล่านี้อยู่อย่างดีคำสอนเหล่านี้มุ่งเน้นให้เห็นถึงความสุขขั้นพี้นฐานของชีวิตทุกขีวิตที่เกิดร่วมกันในโลกนี้ ทุกสังคมย่อมมีปัญหามากน้อยต่างกันไปเหตุปัจจัย ดังนั้นสังคมที่ปรากฏในภูมิปรัชญาชาวอีสานยังชี้ไปให้ลึกถึงแก่นของสังคมนั้นคือ อิทธิพลของหลักธรรมในพุทธศาสนาที่ค่อยสะสมขึ้นจนเปี่ยมล้นอยู่ในสายธารศรัทธาของชาวไทยอีสาน แล้วตกตะกอนเป็นแรงศรัทธาที่ซึมซับเอิบอาบจนกลายเป็นจิตนิสัย และบุคคลิกภาพของพุทธศาสนิกชนที่เคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างลึกซึ่ง ดังสุภาษิตอีสานว่า

ศีลกับธรรมพาเฮาดีได้ ควรตัดสินใจน้อมเข้าเพิ่ง

รัตนะ พระไตรหน่วยแก้ว แนวพายั้งอยู่ซุ่มเย็น

ไผบ่อถือศีลธรรมวางถิ่ม เป็นคนเสียชาติเปล่า

ไผบ่อเซื่อธรรมพระพุทธเจ้า ตายถิ่มค่าบ่มี1

โดยเฉพาะบุคคลผู้ที่ได้ผ่านการบวชเรียนมาแล้วจนมีภูมิธรรมซึ่งวัดเป็นผู้ถ่ายทอดมาให้จนสามารถสร้างสรรงานด้านปรัชญาธรรมในพุทธศาสนามาเป็นปรัชญาท้องถิ่นได้ จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมพุทธศาสนาทรงอิทธิพลต่อสังคมชาวอีสานอย่างลุ่มลึกและสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน กวีชาวอีสานได้ผลิตผลงานต่อสังคมและได้นำเอาคติทางพุทธศาสนามาผสมผสานกันอย่างสนิทแนบแน่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ อิทธิพลเหล่านี้จึงค่อยๆซึมซับมาตามสายธารทางปรัชญาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอีสาน

ทางเสื่อมอีกอย่างที่ควรเว้นให้ห่างไกลถ้าต้องการที่จะพบความสุข คืออบายมุขซึ่งในพุทธปรัชญาก็สอนว่าเป็นทางของความเสื่อม ปรัชญาอีสานก็มองเห็นเช่นกันว่าจริงทุกประการ “อย่าได้มัวเมาเล่นการพนันเบี้ยโบก ลางเทื่อโชคบ่ให้ถงเป้งสิขาดกลาง (82 ของเก่าบ่เล่ามันลืม ) ถ้าใครหลงเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วย่อมมีแต่เสื่อมโดยถ่ายเดียว ดังคำกลอนสุภาษิตอีสานว่า

อันว่าการพนันนี้มันอัปปีจังไฮใหญ่ ทางหลวงเผิ่นกะห่ามทางเจ้าเพิ่นหากเตื่อน

คันแม่นหลวงจับได้พาเสียเงินเกินขีด บ่อแม่นเสียถ่อนนั้นมันเสียหน้าตื่มนำหลานเอย

คันว่าในธรรมเจ้าองค์พุทโธเผิ่นแยงโลก เฮาบ่มีดีสังดอกเจ้าการพนันเล่นถั่ว

มีแต่ชั่วอ้อยต้อยบ่ควรเล่นแม่มันดอกนา...มันชวนให้ใจกล้าขะโมยกินของท่าน

คันแม่นลักได้แล้วผัดมาเล่นต่อไป มันบ่มีทางได้การพนันมีแต่ขาด

บ่มีบาดสิได้เงินล้านเข้าใส่ถงดอกนา...อันนี้มันหากแม่ความฮ้ายทางธรรมพระเจ้ากล่าว

ให้พวกเฮาหิ่นฮู้แล้วเซาเล่นต่อไป คันสิว่าเสียเงินแล้วเฮือนซ้ำเสียต่อ

ลางเถื่อเสียเมียพร้อมนำย้อนฆ่ากัน

หลักธรรมเหล่านั้นกวีมักจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวพุทธและจารีตประเพณีของอีสานด้วย โดยมีหลักธรรมดังนี้คือ

) กฎแห่งกรรม วรรณกรรมอีสานส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องกฎแห่งกรรม คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฉะนั้นจึงพบว่าสุภาษิตอีสานต่างก็ออกมาจากวรรณคดีอีสานทั้งสิ้น โดยเน้นให้เห็นถึงผู้มีความโลภ โกรธ หลง มักจะได้รับวิบากกรรมในบั้นปลายของชีวิต

) กฎแห่งสังสารวัฏ วรรณคดีอีสานส่วนมากจึงมักจะเสนอให้เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดจะดีหรือเลวก็อยู่ที่ผลของกรรมที่ตัวเองทำทั้งสิ้น นั่นคือมนุษย์ที่เกิดในชาตินี้ย่อมเสวยผลของกรรมที่ตนเองทำไว้ในชาติปางก่อนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระราชา หรือยาจก ตลอดถึงพระโพธิ์สัตว์ที่ลงมาเกิด กวีก็เน้นให้เห็นกรรมในอดีตชาตินั่นคือการถูกฝ่ายอธรรมรังแกจนต้องพลัดพรากจากพระนครไปแต่ผู้เดียว แต่สุดท้ายก็กลับมามีชัยชนะ

) กฎพระไตรลักษณ์ คือกวีมักจะเสนอให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั้นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วรรณคดีของอีสานก็จะสอนให้รู้ถึงความไม่เที่ยงเหล่านี้ ไว้เสมอ

) อำนาจ คือธรรมชาติฝ่ายต่ำของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถให้คุณหรือให้โทษแก่มนุษย์ได้ ถ้านำอำนาจไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรมย่อมส่งผลต่อมนุษย์ ดังนั้นนักปรัชญาอีสานจึงต้องมีการสอดแทรกคติธรรมในการใช้อำนาจ ของตนเองให้อยู่ในกรอบประเพณีวัฒนธรรมซึ่งจะพบมากในคลองสิบสี่ซึ่งเป็นธรรมเนียมการปกครองดังเดิมที่ชาวอีสานพยาสอนลูกหลานให้เข้าใจถึงหลักการเมืองการปกครองควรยึดหลักธรรมเป็นวิสัยทัศน์ในการดำรงตำแหน่ง

) เชื่อในชาติหน้า คือวรรณกรรมมีจุดหมายเพื่อสร้างความเชื่อเกี่ยวกับโลกและจักรวาล วรรณคดีอีสานจะดำเนินเรื่องอยู่กับโลกในเชิงจิตวิสัย นั่นคือ โลก สวรรค์ นรก เมืองบาดาล และโลกของพระศรีอารย์ และมีการสอดแทรกอยู่ในผญาภาษิตอีสาน ดังนั้นแก่นเนื้องหาสาระของสุภาษิตจึงมักจะนำเอาหลักธรรมมาแทรกเอาไว้ด้วย เพื่อสั่งสอนคนให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดี

 


203 เรื่องเดียวกัน หน้า ๒๐๔๒๐๙

210 ดร.ปรีชา พิณทอง,เสียวสวาสดิ์,(อุบลราชธานี:โรงพิมพ์ศิริธรรมออฟเซท), ๒๕๒๒, หน้า๒๐๙

197 พระอริยานุวัตร(เขมจารี),ชนะสันทะยอดคำสอน,(มหาสารคาม:โครงการปริวรรตหนังสือผูกมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๒๕, หน้า ๗๑๑

1 ดร. พิมพ์ รัตนคุณสาสน์ , ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น(ขอนแก่น, ...ขอนแก่นการพิมพ์) .. 2537 ,หน้า 133

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชุมนุมเทวดา-ชินกร ไกรลาศ


ชุมนุมเทวดา-ชินกร ไกรลาศ

คาถาป้องกันภัย10ทิศ

ชินบัญชร-ชินกร ไกรลาศ

พระคาถาป้องกันภัย ๑๐ ทิศ.mp3

ธรรมะจากพระโอษตอน1

ธรรมะจากพระโอษตอน2

คิริมานนทสูตร

สวดบูชาพระเจ้า ๑๐ ชาติ

Buddha Spirit Never Dies

                     3d61293c236fc89
 

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 01. Lucid Buddha

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 02. Moon of Peace

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 03. From World To

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 04. Rain of Flowers

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 05. Mercy Mantra

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 06. Windsong of Lotus

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 07. All Kinds of Love

 คลิกฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 08. Joyous Always

 ฟังออนไลน์ :
Peace Buddha Spirit Never Dies - 09. Cool Breezes

 ฟังออนไลน์ :
Buddhist Music Play By Piano Vol.2 - 01. The Sound Of Bell Emitted In The Evening From An Ancien

 คลิกฟังออนไลน์ :
Buddhist Music Play By Piano Vol.2 - 02. Praise To Amitabha Buddha

 คลิ๊กฟังออนไลน์ :
Buddhist Music Play By Piano Vol.2 - 03. The Song Of Three Holy Triratna

 คลิกฟังออนไลน์ :
Buddhist Music Play By Piano Vol.2 - 04. The Jewelled Hall Of Great Hero

 คลิกฟังออนไลน์ :
The Verse Of Repentance

 คลิกฟังออนไลน์ :
Bowing And Making Vow Through Reciting The Name Of Budd

 ฟังออนไลน์ :
Hymn for Sakyamuni

 ฟังออนไลน์ :
Sacrificial Scripture by Bell-tolling

 ฟังออนไลน์ :
Silence of the Green Mountain

 ฟังออนไลน์ :
Purifying the Dharmakaya for Buddha

 ฟังออนไลน์ :
Hymn of Avalokitesvara Bodhisattva

 คลิกฟังออนไลน์ :
Hymn of Ksitigarbha Bodhisattva

 คลิกฟังออนไลน์ :
The Incense Of Keeping Precepts And Concentration

 คลิกฟังออนไลน์ :
Eight-sentence Praise Of Buddha

 คลิกฟังออนไลน์ :
The Earthy World

 คลิกฟังออนไลน์ :
Shuiroyin

 คลิกฟังออนไลน์ :
the Mantra Of Candi Avalokitesvara Bodhisattva

 คลิกฟังออนไลน์ :
The Sound Of Bell Emitted In The Evening From An Ancient Temple

 ฟังออนไลน์ :
Liquid Mind-Relax A Liquid Mind Experience - 02.Serenity




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons