วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผญาภาษิตสอนชาย

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ผญาภาษิตสอนชาย

คำสอนที่มักจะเน้นให้ผู้ชายได้รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมตนเองและครับครัว ซึ่งจะออกมาในรูปแบบสิ่งที่ควรทำ คือวิชาความรู้ การเลือกคู่ครองที่ดี การครองเรือนที่ดีงามควรมีหลักอย่างไรบ้าง สามีที่ดีควรมีคุณธรรมอย่างใด ตลอดถึงผู้เฒ่า ก็ควรกระทำตนอย่างไรบ้างจึงจะนำมาซึ่งความเคารพรักจากลูกหลาน นี้คือคำสอนที่มุ่งถึงจริยธรรมขั้นมูลฐานที่จะทำให้บุรุษได้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนให้มีความสุขได้ พอสรุปได้เป็นประเด็นดังต่อไปนี้ คือ

๑ ) ผู้ชายควรมีหน้าที่รับผิดชอบในครอบครัวทุกด้าน ผู้ชายควรแสวงหาวิชาความรู้ มีสติปัญญา ตลอดถึงเอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง และช่วยปกป้องประเทศชาติให้ปลอดภัยจากศัตรู ควรมีศีลสัตย์ยึดมั่นในทานศีล คำนึงถึงหลักอริยสัจสี่ ศีลห้า ศีลแปด และละเว้นการประพฤติชั่วต่างๆ เมื่อยังหนุ่มไม่ควรเพลิดเพลินกับการเล่น ควรหมั่นศึกษาวิชาการต่างๆ รีบสร้างฐานะ รู้จักประหยัดอดออมไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า หรือยามเจ็บไข้ ไม่ควรหมกมุ่นในเรื่องชู้สาว ควรเป็นคนขยันทำงานทุกชนิด

๒) เป็นผู้ชายควรรู้จักงานด้านศีลปะด้านต่างๆ เพื่อนำมาประกอบอาชีพ วิชาที่ควรเรียนคือ ช่างเงิน ช่างทอง ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างกลึง สานแห ตาข่าย กระบุง ตะกร้า ดนตรี หมอยา หมอเส้น ตลอดถึงศึกษาวิชาธรรมของพระพุทธเจ้า ฮีตบ้านครองเมือง เป็นผู้ชายควรบวชเรียนในพระพุทธศาสนา มีความรักเมตตาต่อผู้อื่นและดูแลเลี้ยงดูบุตรตามจารีตประเพณี รักบุตรให้เท่ากันทุกคนไม่ควรมีอคติต่อกัน และควรกตัญญูต่อบิดามารยกย่องท่านไว้เหนือหัว

     กุหลาบแดงให้พากันเข้า โรงเรียนเขียนอ่าน หลานเอย      อย่าได้คึดขี้คร้าน ความฮู้ให้หมั่นหาฯ

(ให้พากันเข้าโรงเรียนเขียนอ่าน หลานเอ๋ย อย่าได้คิดเกียจคร้าน ความรู้ให้ขยันหา) สอนให้ลูกหลานขยันหมั่นเพียรในการศึกษา ในวัยหนุ่มก็ใจหมั่นหาวิชาความรู้เก็บเอาไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นมาวิชาความที่ได้ศึกษามาจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ดังสุภาษิตว่า

เกาะที่มีต้นปาล์มให้พากันศึกษาฮู้ วิชาการกิจชอบ      ฮีบประกอบไว้ ไปหน้าสิฮุ่งเฮืองฯ

(ให้พากันศึกษารู้วิชาการทุกอย่าง รีบประกอบไว้ไปข้างหน้าจะรุ่งเรือง) คนจะสามารถยกระดับจากคนจนมาเป็นคนรวยได้ก็ด้วยวิชาการ เพราะวิชาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์ได้ จากคนยากจนก็มีเกียรติศักดิ์ศรีได้เพราะวิชา หรือเป็นเจ้าคนนายคนเพราะการศึกษาเล่าเรียนมามาก ถ้าหากว่าบุญวาสนาช่วยอาจจะได้เป็นใหญ่โตถึงขั้นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี และกาลข้างหน้าแสวงหาทรัพย์สินได้มากมาย ดังสุภาษิตนี้คือ

กุหลาบแดงยามเมื่อเจ้าหนุ่มน้อย ให้ฮีบฮ่ำเฮียนคุณ     ยามเมื่อบุญเฮามี สิใหญ่สูงเพียงฟ้า

ไปภายหน้า สิหาเงินได้ง่าย                    ใผผู้ความฮู้ตื้น เงินล้านบ่แกว่นถงฯ

(ยามเมื่อเจ้ายังหนุ่มเยาวัย ให้รีบศึกษาให้ชำนาญ ยามเมื่อบุญเรามี จะได้เป็นเจ้านายคนไปข้างหน้า จะหาเงินได้ง่าย ใครผู้มีความรู้น้อย เงินล้านก็ไม่มี) ความรู้ที่ศึกษามากยิ่งดี เมื่อกาลข้างหน้าจะไม่ลำบาก มีอะไรก็ไม่เท่ามีวิชาติดตัว ดังสุภาษิตว่า

กุหลาบแดงใผผู้มีความฮู้ เฮียนเห็นมามาก    บ่ห่อนทุกข์ยากเยิ้น ภายท้ายเมื่อลุนฯ

(ใครผู้มีความรู้ ศึกษามามาก ไม่ค่อยลำบากในอนาคตข้างหน้า) คนเราจะได้ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ว่ามีการศึกษามากหรือไม่ ดังนั้น จริยธรรมของย่าจึงต้องสั่งสอนให้ลูกหลานชาวอีสานได้ตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษาให้มาก ดังสุภาษิตนี้ว่า

เกาะที่มีต้นปาล์มให้เจ้าเอาความฮู้หากินทางชอบ ความฮู้มีอยู่แล้วชิกินได้ชั่วชีวังฯ(ปรี/ภาษิตโบ/52

เกาะที่มีต้นปาล์มสิได้เป็นขุนขึ้น ครองเมืองตุ้มไพร่     สิได้เป็นใหญ่ชั้น แนวเชื้อชาตินาย แท้ดายฯ

(ให้เจ้าเอาความรู้หากินทางสุจริต ความรู้มีอยู่แล้วจะหากินไต้ตลอดชีวิต จะได้เป็นขุนขึ้นปกครองเมืองรักษาไพร่ จะได้เป็นใหญ่เพราะวิชาความรู้) ความรู้ให้ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงและเงินทองอย่างมากมาย ดังสุภาษิตนี้คือ

เกาะที่มีต้นปาล์มอันว่าเงินคำแก้ว ไหลมาเอ้าอั่ง    มีแต่มูลมั่งได้ สินสร้อยมั่งมี

(อันว่าเงินทองจะหลั่งไหลมามากมาย เหมือนร่ำรวยมาแต่เดิมทรัพย์สินมากมายเพราะวิชาการที่ได้ศึกษามา) สุดท้ายย่าก็ต้องสรุปว่า การงานทุกอย่างอย่ามัวแต่ขี้เกียจ ให้รู้จักตื่นนอนแต่เช้าให้เร่งรีบทำกิจการทั้งปวงให้สำเร็จ อย่าคอยแต่จะพึ่งพาอาศัยคนอื่น ดังสุภาษิตนี้ คือ

เด็กหญิงอย่าสิได้ขี้คร้าน มัวแต่นอนหลับ       ความกินสิเพพังเสีย เวทนามีมั้ว

อย่าได้มัวเมาอ้าง เอาเขามาเพิ่ง หลานเอย      ให้เจ้าคึดต่อตั้ง ความฮู้แห่งเฮา ฯ

(อย่าได้เกียจคร้าน หลงแต่นอนหลับ การทำมาหากินจะลำบาก ความทุกข์จะประดังเข้ามา อย่าได้หลงอ้างแต่ผู้อื่น เอาเขามาพึ่งอาศัย หลายเอย ให้เจ้าคิดพึ่งปัญญาของตนเองจะดีกว่า) และสั่งสอนให้รู้จักพึงพาตนเอง อย่าได้คอยแต่จะให้คนอื่นเขามาช่วยเหลือนั้นไม่ดี ดังสุภาษิตนี้คือ

เจ้าหญิงอย่าสิหวังสุขย้อน บุญคุณคนอื่น หลานเอย

สุขกะสุขเพิ่นพุ้น บ่มากุ้มฮอดเฮา ดอกนาฯ

(อย่าได้หวังความสุขจากคนอื่น หลายเอย สุขก็สุขของเขาไม่มาถึงเราหรอก) สอนให้ลูกหลานช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อน ถึงว่าสภาพบ้านเมืองของอีสานจะแห้งแล้งก็อย่าได้แล้งน้ำใจ ให้หมั่นทำบุญเอาไว้ และย่ายังสอนให้รู้จักฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อขัดเกลาจิตใจให้ดีอีกทางหนึ่งดังสุภาษิตนี้ว่า

เกาะที่มีต้นปาล์มบัดนี้ย่าสิพาพวกเจ้า ตกแต่งกองบุญ

มื้อนี้เป็นวันศีล เวียกเฮาเซาไว้

ย่าสิพาไปไหว้ ยาครูสังฆราชเจ้า

ไปตักบาตรแลหยาดน้ำ ฟังเจ้าเทศนาฯ

(บัดนี้ย่าจะพาพวกเจ้า ตกแต่งกองบุญ วันนี้เป็นพระงานทุกอย่างหยุดไว้ก่อน ย่าจะพาไปไหว้อาจารย์พระครูและสังฆราชเจ้า ไปตักบาตรและกรวดน้ำอุทิศ และฟังเทศนาธรรม) ย่ายังสอนให้รู้ลูกหลานรู้ว่าความดีหรือบุญนั้นมีหลายอย่าง คือบุญเกิดจากการให้วัตถุเป็นทานก็มี เรียกว่า ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน และศีลมัย บุญนั้นสำเร็จจากการรักษาศีล ตลอดถึงบุญที่สำเร็จจากการเจริญภาวนา เรียกว่าภาวนัยมัย เพื่อทำทางให้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ดังสุภาษิตนี้ว่า

ไปฮักษาศีลสร้าง ภาวนานำเพิ่น

ให้พวกเจ้าพี่น้อง จำไว้ย่าสิสอน

เพิ่นว่าวันศีลนั้น ให้ทำบุญตักบาตร

คันผู้ใดอยากขึ้น เมืองฟ้าให้หมั่นทานฯ

(ไปรักษาศีลสร้าง ภาวนาเหมือนคนอื่น ให้พวกเจ้าพี่น้อง จำไว้ย่าจะสอน ท่านว่าวันศีลนั้นให้ทำบุญตักบาตร ถ้าหากใครอยากขึ้นสวรรค์ให้หมั่นทำทาน)

ให้หมั่นทำขัวข้วม ยมนาให้ม้มฝั่ง

หวังนิพพานไจ้ไจ้ ปานนั้นจิ่งเผื่อพอฯ

(ให้ขยันทำทานเปรียบเหมือนทำสะพานข้ามฝั่ง หวังจะถึงฝั่งพระนิพพาน)

ให้เจ้าคึดต่อไว้ ฮีตฮ่อมทางเทียว

ทางไปนีระพาน ยืดยาวยังกว้าง

อันว่าหนทางเข้า นีระพานพ้นโศก

มีแต่บุญอ้อยต้อย หลานน้อยให้ค่อยทำฯ หน้า 6

(ให้เจ้าคิดต่อไว้ถึงทางเดินไปพระนิพพาน มันยืดยาวนักอันว่าทางจะไปพระนิพพานนั้นมีแต่บุญเท่านั้น ให้พวกหลานขยันทำบ่อยๆ) และสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักบุญคุณของพ่อแม่และย่าตลอดถึงคุณพระรัตนตรัย ก่อนจะหลับนอนให้ลูกหลานเก็บดอกไม้มาแต่งเป็นขัน ๕ เพื่อกราบไหว้ก่อนนอน ดังสุภาษิตว่า

คันธชาติเชื้อ ดวงดอกบุปผา

มาบูชา พระยอดคุณจอมเจ้า

บูชาเถ้า อัยยิกาจอมย่า

บูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมพร้อมพร่ำสงฆ์ฯ

ยามเนานอนนั้น คะนิงคุณพ่อแม่

คุณอี่นายย่าเถ้า คุณเจ้าแต่ประถม

คุณพระโคดมเจ้า องค์พุทธโธดวงยอด

เทียนธูปไต้ บูชาแล้วจิ่งนอน ฯ /8

อันนี้ก็เพื่อกุศลเจ้า อัยยิกาเถ้าย่า

หากได้สอนสั่งให้ ความฮู้แก่หลานฯ

(เทียนธูปจุดตกแต่งตามเรามี พร้อมทั้งยกมือไหว้อย่าได้ลืม ก่อนจะหลับนอนนั้นให้คำนึงถึงคุณพ่อแม่ คุณย่าเฒ่าสามอย่างนี้มีมาก่อนสิ่งใด และคุณพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสนดาเอกของโลก จุดเทียนธูปบูชาแล้วจึงค่อนนอน อันนี้เป็นทางแห่งความดีของลูกหลาน ย่าสอนให้ความรู้แก่หลานๆ) ย่าเป็นเสมือนหนึ่งผู้ส่องแสงสว่างให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม ทั้งสอนให้ขยันในการศึกษา ให้รักษาศีล และทำบุญ และสอนให้รู้ว่าบุญนั้นส่งผลให้ในรูปแบบใดหรืออานิสงส์ของบุญมีลักษณะให้ผลอย่างไร ความกตัญญูต่อพ่อแม่มีอานิสงส์อย่างไร ดังสุภาษิตย่าสอนหลานดังนี้คือ

สาวขี้เล่น๓) เป็นชายควรเลือกเนื้อคู่ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นภรรยา กล่าวคือหญิงที่ทำอาหารอร่อย มีความชื่อสัตย์ต่อสามี หญิงที่มีลักษณะเป็นคนมีบุญวาสนา เจรจาอ่อนหวาน หญิงที่มีลักษณะว่ามีบุตรมากและเลี้ยงลูกดี หญิงที่เก่งการเรือน คำสอนเรื่องการเลือกคู่สมรสได้บอกลักษณะหญิงดีหรือชั่ว ถ้าเลือกหญิงกาลกิณีจะเป็นผลร้ายแก่ตนเอง และสังคมญาติด้วยดังคำสอนดังนี้คือ

อันหนึ่งครั้นจักเอาหญิงให้เป็นนางใภ้ร่วมเฮือน

หญิงใดฮู้ฉลาดตั้งการสร้างก็จิ่งเอานั้นเนอ

อันหนึ่งรู้ฮีตเฒ่าสอนสั่งตามคอง

การเฮือนนางแต่งแปลงบ่มีคร้าน

หญิงนี้ควรเทาแท้เป็นนางใภ้ร่วมเฮือนแล้ว

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

เด็กชาย๔) เป็นชายนั้นไม่ควรเป็นคนดื้อ มือไวใจบาป ชอบเล่นการพนัน และคบชู้กับเมียเพื่อนให้เป็นคนรู้จักกลัวบาปกรรม ไม่ควรประพฤติชั่วด้วยการวาจาและใจ ไม่โกง ไม่ลักลักขโมยของคนอื่นและ เมื่อได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้วไม่ควรดูหมิ่นพวกไพร่ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่สนับสนุนบ้านเมืองก็เจริญไม่ได้ ทุกคนควรพึงพาอาศัยกันและกัน ให้มีความสามัคคีต่อกัน ศรัทธาในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นแก่นสารในการดำรงชีวิต

สตรีในฐานะมารดา เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในครอบครัว นั่นคือ การเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรธิดา รวมทั้งการให้ความรัก ความอบอุ่นแก่บุตรธิดา สุภาษิตได้ชี้ให้เห็นว่าหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ของมารดาแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ของบิดามารดาต้องช่วยกัน ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่า

พ่อแม่บ่สอนลูกเต้า ผีเป้าจกกิตตับกันไต

(พ่อแม่ไม่สั่งสอนลูก ผีกระสือล้วงกินตับไต)

แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากมารดาเป็นผู้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า ดังนั้นมารดาจึงมีบทบาทหน้าที่ให้การเลี้ยงดูบุตรเหมือนแม่ไก่ โดยธรรมชาติของแม่ไก่เมื่อหาอาหารมาได้มันจะเรียกลูกๆของมันมากินอาหาร และเมื่อยามมีภัยหรือยามที่มีอากาศหนาวเย็นมันก็จะให้ความอบอุ่นและคุ้มครองลูกๆของมันเป็นอย่างดี ดังที่สุภาษิตกล่าวไว้ว่า

ขอให้เลี้ยงลูกธรรมเนียมดั่งแม่ไก่ ใหญ่เมื่อหน้ายังสิได้เพิ่งพิง

(ขอให้เลี้ยงลูกเหมือนแม่ไก่ เมื่อลูกเติบโตขึ้นก็จะได้พึ่งพิง)

เป็นญิงนี้ธรรมเนียมดอมไก่ โตหักฟักโตหักได้ดอมเลี้ยงใหญ่สูง

(เป็นหญิงนี้ให้เหมือนแก่ ฟักไข่และเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่)

นอกจากนี้ มารดาต้องประพฤติตนให้อยู่ในกรอบของความดีงามทางจริธรรมแก่บุตรธิดาของตนเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตร ซึ่งความประพฤติของมารดามีอิทธพลต่อการมีคู่ครองของบุตรด้วย การที่บุตรจะเป็นคนดีในสายตาของสังคมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนของมารดา ถ้ามารดาสอนแต่สิ่งที่งามให้แก่บุตร ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่าเป็นคนดีด้วย ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่า

เบิ่งช้างให้เบิ่งหาง เบิ่งนางให้เบิ่งแม่ เบิ่งแท้ๆให้เบิ่งฮอดปู่ย่าตายาย

(ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ดูแน่ๆให้ดูถึงปู่ย่าตายาย)

กล่าวได้ว่า มารดาโดยทั่วไปมีจริธรรมตามที่ควรจะเป็นต่อบุตรธิดาของตนเอง ตลอดถึงผู้ที่เป็นบิดาก็มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนบุตรธิดาของตนเหมือนกัน แต่หน้าที่หลักก็ย่อมตกอยู่ที่แม่ซึ่งเป็นฝ่ายที่รับภาระหนักมากกว่าพ่อ

พงศ์พันธุ์เซื้อตายายพ่อแม่ ควรที่นบนอบไหว้ยอไว้ที่สูง65/ศูนย์

ผลาบุญตามค้ำแนมนำยู้ส่ง ปรารถนาอันใดคงสิลุลาภได้โดยด้ามดั่งประสงค์

คันอยากได้คู่ซ้อนมีหมู่ปรึกษา ให้ปรึกษาขุนหมู่พงศ์พันธุ์เซื้อ

ให้ปรึกษาเฒ่าขุนกวนพ่อแม่ คันพ่อแม่บ่พร้อมเซาถ้อนอย่าเอา66/ศุน

พ่อแม่พร้อมมิตรหมู่มวลสหาย ครูอาจารย์ทั้งหลายผู้มีคุณล้น

ควรที่เฮาพากันได้หาทางสนองตอบ อย่าได้ทำถ่อยฮ้ายปองขี้ใส่คุณ 69/ศูน

บิดามารดาซ้ำถือศีลบ่ได้ขาด บ่ให้ผิดพลาดพลั้งพอดี้เม็ดงา

คันบ่มีสิ่งนี้เข้าฮ่วมถนอมกัน บ่มีวันลูกเฮาสิใหญ่โตปานนี้ 70/ศูน




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons