วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

::วรรณกรรมเรื่องท้าวคำสอน::bandonradio

๔.  วรรณกรรมเรื่องท้าวคำสอน
       เนื้อเรื่องย่อ
       ท้าวคำสอนเป็นกำพร้าอาศัยอยู่กับพระมหาเถระ  เมื่อเจริญวัยพระมหาเถระจึงสอนวิธีการเลือกคู่ครอง  ซึ่งท่านได้อรรถาธิบายถึงลักษณะหญิงประเภทต่างๆท้าวคำสอนก็ลาพระมหาเถระไปหาหญิงลักษณะดีเป็นคู่ครอง  ในที่สุดก็พบกับนางปังคำ  เป็นคนจนอยู่กระท่อมแต่ด้วยลักษณะถูกโสลกของหญิงดีเป็นเมียแก้ว  ท้าวคำสอนเกี้ยวพาราสีซึ่งตอนนี้กวีท่านได้นำเอาผญาเกี้ยวใส่เข้าไปซึ่งเป็นที่กินใจจนหนุ่มสาวนำมาเป็นผญาเกี้ยวกันสนทนากันอยู่เนืองๆ  ฉะนั้นถ้ารวมรวมสำนวนผญาที่หนุ่มสาวจ่ายกันนั้นก็น่าจะเป็นสำนวนที่จดจำมาจากเรื่องท้าวคำสอนเป็นส่วนใหญ่  ค่านิยมในการเลือกคู่ของชาวอีสานนั้นไม่เน้นเรื่องความสวยงามเป็นหลัก  หากแต่ว่าเน้นถึงลักษณะของสตรีที่เป็นสิริมงคล  ถึงแม้ว่ารูปร่างจะด้วยไปก็ตาม  แต่เน้นหญิงที่มีใจบุญสุนทาน  ดังนั้นวรรณกรรมท้าวคำสอนนี้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะนิสัยการเลือกคู่ของชาวอีสานได้ดี  คือเป็นเมียแก้วเมียขวัญ  และควรเป็นหญิงที่นำโชคมาให้สามีและครอบครัว  ใจบุญ  ซื่อสัตย์ต่อสามีและเป็นแม่บ้านที่ดีเป็นแม่ศรีเรือนนั้นเอง  แต่วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเพียงความพยายามที่จะกำหนดรูปแบบของหญิงที่ดีและไม่ดีเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางของการเลือกอีกวิธีหนึ่งเท่านั้น  ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นจริงอย่างนั้นเสมอไป  คือคนที่จะมาเป็นคู่ครองจริงอาจจะไม่มีลักษณะตรงกับที่พระมหาเถระสั่งสอนเอาไว้ก็ได้  ดังตอนสุดท้ายของเรื่องท่าวกล่าวว่าดังนี้คือ
    คำสอนท้าวฟังนางเว้าม้วนถืกโสลกแท้นางแก้วตอบขานนางนั้นชื่อว่านางปังคำเจ้าคำสอนต้านกล่าวนางเว้าจ้อยๆคำสอนท้าวนั่งฟัง  ท้าวก็มักยิ่งแท้ประสงค์แต่งเป็นเมีย  ถืกโสลกมหาเถรยอดหญิงแปงสร้าง  ชื่อว่าเป็นนางแก้วเคียงสองเสมอแว่น  มหาเถรแต่งให้เห็นแล้วถืกกะใจถืกลักษณะแท้ทั้งโสลกหญิงดี  บ่ได้มีทางติเยื่องประมาณพอน้อย  เป็นเพราะสายมิ่งเกี้ยวปางก่อนสายแนน  บุพพกรรมปางหลังจ่องดึงให้มาพ้อ  ผัวเป็นเทวบุตรแท้แสวงหาเมียมิ่ง  เมียเป็นเทวดาได้พ้อบุญกว้างส่งสนองแนนมิ่งนั้นคือดั่งวาสนา นั้นแล้ว  ชาติก่อนพุ้นเคยได้ฮ่วมผัวเมีย  แสนซิไปคนทางเกิดกันคนก้ำ  แม่นซิปรารถนาเว้นก็ยังนำเฮียงฮ่วมกันดายหนีบ่ม้มเวรเกี้ยวชาติลุ้น  แนมท่อ  สองประสงค์เว้นภายลุนจิ่งจำจาก  ผิว่าผัวบ่เว้นใจข้องต่อเมีย  จักได้กันเที่ยงแท้บ่เหินห่างสายแนน ฯ94
       ลักษณะของหญิงที่เป็นสิริมงคลแก่สามีและครอบครัว  ซึ่งควรที่จะเลือกมาเป็นคู่ครองมีลักษณะสำคัญอยู่  ๓  ประการคือ
สตรีที่นำโชคลาภมาสู่สามีและครอบครัว  ซึ่งจะมีวาสนาให้สามีให้สามีเจริญรุ่งเรืองและครอบครัวมีความสุขร่ำรวย ดังนี้
    ๑)    หญิงใดเอเลท้องปูมหลวงอุมบาตร
        หญิงนั้นลอนท่อเป็นรูปร้ายบุญเจ้าหากมีแท้ดาย
        ชายใดได้เข้าอยู่ซ้อนสุขร่วมบรม
        สมบัติในเรือนมีพร่ำเพ็งเต็มเหย้า หั้นแล้วฯ
    ๒)    หญิงใดคอตกปล้องหางตาแดงพอสน่อย
        เมื่อนางยกย่างย้ายพอด้ามเกิ่งเสมอ
        แม่นว่าท้าวเข้าได้อยู่ซ้อนเรียงร่วมเป็นเมียเมื่อใด
        ยูท่างและทรงความสุขนั่งปองเป็นเจ้า
    ๓)    หญิงใดมีปานดำขึ้นจักกกขาดูหลาก
        หญิงนั้นใผผู้ใดกล่าวต้านโอมได้โชคมี แท้แล้ว
    ๔)    หญิงใดโปแข่งน้อยคิ้วก่องกวมตา
        หัวนมเป็นปานดำก็หากมีบุญแท้
        ใผผู้โอมเอาได้เป็นเมียโชคขนาดแท้ดาย
        มันหากดูประเสริฐแท้เมือหน้าบ่ขวงแท้แล้ว
    ๕)    หญิงใดขี้แมงวันจับสบเบื้องซ้ายสมบัติมั่งบุญมีท้าวเอย
        ใผผู้โอมเอาได้เป็นเมียหากคูนยิ่งจริงด้าย
    ๖)    หญิงใดใบหูห้วนหยุดปลายพดสน่อย
        หญิงนั้นเป็นแม่ค้ายังซิได้มั่งมีเจ้าเอย
        ยังได้ผมดำเลื่อมหางนกยูงเสมอภาค กันนั้น
        ชายใดได้เข้าอยู่ซ้อนจักเป็นเจ้าเศรษฐี
    ๗)    หญิงใดเสียงปากต้านหวานหูเว้าม่วน
        ตาเชิดซ้ายคอปล้องรูปงาม
        เกศาผมยาวได้วาปลายคืบหนึ่ง
        หญิงนั้นควรค่าล้านคำม่วนชอบธรรม แท้ดาย
    ความหมายคำศัพท์
    เอเล  -กางใหญ่        ลอนท่อ- หากว่า ผิว่า    พร่ำเพ็ง  -มากล้น    ยูท่าง  -สบาย มีความสุข  อยู่เย็น        ด้าม  เพียง  ประมาณ    เกิ่ง - กึ่ง  ครึ่ง        ซ้อน – คู่ครอง
    คีค้อยคีค้อย-สม่ำเสมอ  ฟู –เจริญรุ่งเรือง  ฟูเฟื่อง
ข.ลักษณะสตรีที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี
    หญิงใดหลังตีนสูงขึ้นคือหลังเต่า
    หญิงนั้นใจซื่อแท้ประสงค์ตั้งต่อผัวเจ้าเอย
    ก็บ่มักเล่นชู้ชายอื่นมาชม
    ก็ท่อจงใจรักต่อผัวคีค้อยคีค้อย
    หญิงนั้นแม่นซิทำการสร้างอันใดก็เรืองรุ่งแท้แล้ว
    แสนซิจมอยู่พื้นมาแล้วก็หากฟู
ค. ลักษณะสตรีที่เป็นแม่บ้านที่ดีคือ
    หญิงใดเฮ็ดกินพร้อมพอเกลือทั้งปลาแดก
    หญิงนั้นแม่นเป็นข้อยเพิ่นฮ้อยชั้นควรให้ไถ่เอา ท่านเอย
ง  ลักษณะสตรีที่มีโทษหรืออัปมงคล
    ๑)  หญิงใดหน้าผากกว้างดังใหญ่โขโมนั้นนา
    หญิงนั้นเป็นหญิงขวงอย่าเอาควรเว้นฯ
    ๒)  หญิงใดฝาตีนกว้างกกขาทึบแข่งใหญ่
    หญิงนั้นใผเข้าอยู่ซ้อนสอนได้ก็บ่ฟัง
    มันก็ขี้ถึ่แท้โถงโลกโลกา แท้ดายฯ
    ๓)  หญิงใดฝีสบดำซ้ำเสมอหมากมอญสุกดังนั้น
    อันว่าตัญหาในโลกาบ่อาจมีไผ่เพี้ยง
    หญิงนั้นคนมีใจถ่อยร้ายเจ้าอย่าโอมเอาแท้เน้อ
    ฝูงนี้หญิงอธรรมบาปเวรนำใช้ แท้แล้วฯ95

bandonradio




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons