วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รูปเล่าประวัติศาสตร์ รวมภาพถ่ายยุคการปฏิวัติซินไฮ่

กองร้อยเบงกอล แลนเซอร์สเป็นขบวนคุ้มกันเคานต์ วอลเดอร์ซี หรืออัลเฟร็ด กราฟ ฟอน วอลเดอร์ซี (1832-1904) ในฐานะหัวหน้าคณะเสนาธิการแห่งจักรวรรดิเยอรมนี เมื่อเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งเบื้องหน้าประตูอู่เหมินเมื่อวันที่ 17 ต.ค.1900

ไชน่าเดลี - หลิว เซียงเฉิง ใช้เวลาเดินทางไปในหลายประเทศ เพื่อติดตามค้นหาอยู่นานถึงหนึ่งปีทีเดียว กว่าจะได้ภาพถ่ายต้นฉบับสำหรับหนังสือรวมภาพถ่ายแต่ครั้งสมัยการปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งมีชื่อว่า “ China in Revolution : The Road to 1911” (จีนในสมัยการปฏิวัติ : เส้นทางสู่ปีค.ศ.1911) หนังสือรวมภาพถ่ายเล่มล่าสุด ที่เขาบรรจงทำขึ้น เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 100 แห่งการปฏิวัติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช 2454 อันเป็นการสิ้นสุดการปกครองของฮ่องเต้ ที่ยาวนานมาหลายพันปี

ทหารฝ่ายปฏวัติเตรียมยิงปืนใหญ่ต่อสู้กับกองทัพจักรพรรดิในเมืองฮั่นโข่ว,ต.ค.1911

หน้าปกของหนังสือเล่มนี้เป็นภาพถ่ายของนายทหารแห่งขุนศึกภาคเหนือ (หรือกองทัพสมัยใหม่ของราชวงศ์ชิง) ซึ่งหาแทบไม่ได้แล้ว ผู้ช่วยของหลิวสืบเสาะ จนทราบว่าเป็นผลงานของคุณพ่อเลโอน นานี (Leone Nani) บาทหลวงนิกายคาทอลิก ซึ่งถ่ายในช่วงปี 1904-1914 (พ.ศ. 2447-2457) ในมณฑลส่านซี เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปยังสถาบันการเผยแพร่ศาสนาในต่างประเทศแห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Institute of Foreign Missions) อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งได้มา

โรงผิ่นในเมืองชิงเต่าช่วงปี 1890-1910

เมื่อล่วงมาหนึ่งศตวรรษ หลิวจึงคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องค้นหาภาพถ่าย ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ และถ่ายทอดความลำบากทุกข์ยากในอดีต ที่จีนเคยประสบมาให้แก่คนรุ่นหนุ่มสาวได้รับรู้

มิสชันนารีหญิงนั่งเกี้ยวหามในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝู่เจี้ยน ปี 1894

“เรามองประวัติศาสตร์อย่างไรย่อมมีอิทธิพลต่อการมองปัจจุบัน และมีอิทธิพลต่อการที่คนอื่นมองเราว่าอย่างไรบ้างด้วย” หลิวระบุ
“ชาวจีนไม่ใช่เหยื่อของประวัติศาสตร์อีกแล้ว เราควรก้าวต่อไป และเผชิญกับอดีตด้วยการพิจารณาอย่างสุขุมและมีเหตุผล” เขากล่าว

สหรัฐฯ ให้การรับรองสาธารณรัฐจีน ภาพถ่ายหมู่มีหยวน ซื่อไข่ (แถวหน้าที่ 3 จากซ้าย) และเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนถ่ายรูปร่วมกับวิลเลี่ยม เจมส์ คัลฮูน รัฐมนตรีแห่งสหรัฐฯ (ถัดจากหยวน) วันที่ 2 พ.ค.1913 หยวนยังสวมเครื่องแบบนายพลเอกของราชวงศ์ชิง

หลิว วัย 60 ปีเป็นนักถ่ายภาพ ซึ่งมีรางวัลพูลิตเซอร์การันตีความสามารถด้วยผลงานเด่น ๆ เช่นภาพถ่ายของประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ขณะลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2534 อันเป็นเครื่องหมายการจบสิ้นของสหภาพโซเวียต และหนังสือรวมภาพถ่าย 3 เล่ม เล่มหนึ่งได้แก่ “China after Mao” และ “China, Portrait of a Country” เล่มนี้จำหน่ายได้มากกว่า 2 แสน 5 หมื่นเล่ม
สำหรับหนังสือเล่มล่าสุด รวบรวมภาพถ่ายกว่า 900 ภาพจากทั้งหมดกว่า 1 หมื่นภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เขาได้ตรวจสอบด้วยตนเองทั้งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และการสะสมส่วนบุคคลในหลายทวีป
หลิวคัดเลือกภาพ โดยดูจากคุณค่าเชิงเทคนิคการถ่าย และการสื่อเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ จากนั้น หลิวและคณะทำงานจัดการซ่อมแซมภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่นานราว 1,000 ชั่วโมง และเรียงลำดับภาพตามวันเวลาเกือบทั้งหมด พร้อมบทความประกอบ 4 บท
ในจำนวน 900 ภาพนี้ มี 300 ภาพ ไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ ที่ไหนมาก่อน เช่นภาพของโฮเมอร์ ลี ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ฝึกกองทัพสมัยใหม่ในปี 1904 (พ.ศ. 2447)
นอกจากนั้น ภาพถ่ายอีกมากมายเป็นภาพการดำเนินชีวิตประจำวันของสามัญชนทั่วไปเมื่อสมัยปี 1850 (พ.ศ.2393) - 1928 (พ.ศ.2471) ส่วนใหญ่บันทึกภาพโดยบาทหลวง นักธุรกิจ นักการทูต และนักเดินทาง
ผู้อ่านจะได้เห็นลักษณะการแต่งตัวของผู้คนในยุคนั้น การแต่งงาน ภาพชีวิตในตลาด หรือแม้กระทั่งภาพความตายบนลานประหาร ตลอดจนภาพถ่าย ที่แสดงให้เห็นถึงการสั่งสมพลังในการปฏิวัติ และผล ที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติ
“ผมต้องการถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตไม่เฉพาะแค่เกี่ยวกับบุคคลมีชื่อเสียง 1,000 คนในเวลานั้น แต่เกี่ยวกับประชากร ที่มีอยู่ราว 400 ล้านคน” หลิวอธิบาย
หนังสือ “ China in Revolution : The Road to 1911” ซึ่งถ่ายทอดด้วยภาษาอังกฤษ ได้รับคำชมเชยจากนักประวัติศาสตร์หลายคน เช่นเบ็ท แม็กคิลลอป แห่งวิกทอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต มิวเซียมของสหราชอาณาจักรทั้งในแง่ฝีไม้ลายมือ การทำงานอย่างทุ่มเทของหลิว และในแง่ที่การปฏิวัติซินไฮ่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน

หลิว เซียงเฉิง กับหนังสือเล่มล่าสุด “ China in Revolution : The Road to 1911”

ทำไมถึงทำกับฉันได้- เติ้งลี่จวิน

ฟังเพลง "เสยไหลไอ้หวั่ว" รำลึกชีวิตรักเติ้งลี่จวิน

ราชินีเพลงเติ้ง ลี่จวิน ถือว่าเป็นศิลปินระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานอย่างสูงสุด แต่ในด้านชีวิตด้านความรักกลับตรงกันข้าม ตลอดช่วงชีวิตของเธอไม่เคยมีโอกาสสวมชุดเจ้าสาวที่บรรดาหญิงสาวใฝ่ฝันถึง ทั้งนี้ตลอดช่วงชีวิตของเธอมีความรักที่เด่นๆ อยู่ดังนี้
คนแรกคือ จูเจียน นักธุรกิจผู้เป็นรักแรกของนักร้องสาว จูเจียน เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่มีข่าวกับ เติ้ง ลี่จวิน เป็นรายแรก เขามีอาชีพเป็นผู้จัดการไนท์คลับแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ว่ากันว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังวงการบันเทิงและเป็นผู้ที่คอยประคับประคอง เติ้ง ลี่จวินในช่วงแรกของการเข้าสู่วงการเพลง ทว่าในระหว่างที่คบกันนั้น จูเจียน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินโดยสารตกที่เวียดนาม

ภาพอดีตรักเติ้งลี่จวิน-เฉินหลง

 

 

ซุปเปอร์สตาร์แห่งเอเชีย เฉินหลง เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยมีประวัติพัวพันกับเติ้งลี่จวิน ทั้งสองพบรักกันในช่วงปี ค.ศ. 1979 ขณะที่เติ้ง ลี่จวินไปพำนักอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนเฉินหลงเดินทางไปถ่ายหนัง ซึ่งในบรรดาความรักหลายครั้งหลายคราที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน นับว่าความรักของ เติ้ง ลี่จวิน กับ เฉินหลง นั้นเป็นความรักที่แฟนเพลงต่างเอาใจช่วยมากที่สุด และพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดายเมื่อมันจบลงมากที่สุด โดยหลังจากที่ทั้งคู่เลิกรากันไปแล้วหลายปี เฉินหลง ได้ออกมาอธิบายเหตุผลของการเลิกราผ่านสื่อว่าเป็นเพราะเติ้ง ลี่จวินสูงส่งเกินไป เนื่องจากลักษณะนิสัยส่วนตัวของ เติ้ง ลี่จวินจะ พิถีพิถัน ตั้งแต่กิริยาท่าทาง ชอบทานอาหารร้านหรูหรา รักความสะอาดมาก และมีมาตรฐานสูง ขณะที่เฉินหลงค่อนข้างติดดิน และมีพี่น้องร่วมกันร่วมดื่มมากมาย ทั้งสองจึงไปกันไม่ได้ สุดท้าย เฉินหลง จึงหันไปคบกับดาราสาว หลิน เฟิงเจียว ที่เข้ากันได้มากกว่าและตกลงใจแต่งงานกันในที่สุด

 

กัว ข่งเฉิง ทายาทมหาเศรษฐี ด่านความรักที่เติ้งลี่จวินมิอาจข้ามพ้น

นอกจากนั้น เติ้ง ลี่จวิน ยังมีข่าวความรักกับ กัว ข่งเฉิง(Kuok Khoon Chen) ทายาทของกัว เห้อเหนียน(Robert Kuok) เจ้าพ่อน้ำตาล นักธุรกิจจีนสัญชาติมาเลเซีย เจ้าของหนังสือพิมพ์ South China Morning Post ฮ่องกง และผู้ก่อตั้ง Shanggri-La Group ทั้งสองคบกันอย่างลึกซึ้งถึงขั้นที่ กัว ข่งเฉิง ขอเติ้ง ลี่จวินแต่งงาน ทั้งยังมีการลงรายละเอียดเรื่องการจัดแต่งงานกันไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ทว่าความรักของเธอก็ต้องมาสะดุดลง เมื่อไม่สามารถผ่านด่านคุณย่าของว่าที่เจ้าบ่าว ที่ตั้งเงื่อนไขในการเป็นสะใภ้ “ตระกูลกัว” ไว้ให้เธอ 3 ข้อคือ ข้อแรกให้เธอเล่ารายละเอียดความสัมพันธ์ของเธอกับเพื่อนชายคนก่อนๆ มาโดยละเอียดว่าตื้นลึกหนาบางอย่างไร ข้อสองเมื่อแต่งงานแล้วให้ออกจากวงการบันเทิงทันที และสุดท้ายคือห้ามสุงสิงกับเพื่อนในวงการบันเทิง ซึ่งทั้ง 3 ข้อเติ้ง ลี่จวิน รับไม่ได้จึงล้มเลิกงานแต่งงานไปในที่สุด หลังจากนั้นไม่กี่ปี กัว ข่งเฉิงแต่งงานไปกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น

เติ้งลี่จวิน กับรักสุดท้ายของเธอกับช่างภาพหนุ่มต่างชาติที่อายุอ่อนกว่านับ 10 ปี

รักสุดท้ายของเติ้งลี่จวิน เริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เติ้ง ลี่จวินค่อยๆ หายไปจากวงการเพลงเนื่องจากถึงจุดอิ่มตัว รวมทั้งปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้เธอหลบไปพำนักอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และเริ่มคบหากับช่างภาพหนุ่มชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า Paul ที่มีอายุอ่อนกว่าเธอนับ 10 ปี ซึ่งเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางมายังประเทศไทยในการเดินทางสุดท้ายก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลง
แม้ความรักของราชินีเพลงสาวผู้นี้จะเกิดขึ้นและจบลงทุกครั้ง แต่ทว่าอย่างไรก็ตามผลงานเพลงของเธอยังคงเป็นอมตะอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

《谁来爱我》
1.你曾经对我说过 永远的爱我
ni3 ceng2 jing1 dui4 wo3 shuo1 guo4 yong3 yuan3 de5 ai4 wo3
หนี่เฉิงจิงตุ้ยหวั่วซัวกั้วหยงหย่วนเตอไอ้หวั่ว
เธอเคยบอกว่ารักฉันนิรันดร
谁知道你的话儿 都是在骗我
shei2 zhi1 dao4 ni3 de5 hua4 er dou1 shi4 zai4 pian4 wo3
เสยจือเต้าหนี่เตอฮว่าโตวซื่อไจ้เพี่ยนหวั่ว
ใครจะรู้ ลมปากเธอล้วนลวงหลอก
你狠心抛弃我 也不管我死活
ni3 hen3 xin1 pao4 qi4 wo3 ye3 bu4 guan3 wo3 si3 huo2
หนี่เหิ่นซินเพ่าชี่หวั่วเหยี่ยปู้ก่วนหวั่วสื่อหัว
คุณทิ้งฉันอย่างเลือดเย็น ไม่สนว่าเป็นหรือตาย
谁爱我 谁爱我 谁来爱我
shei2 ai4 wo3 shei2 ai4 wo3 shei2 lai2 ai4 wo3
เสยไอ้หวั่ว เสยไอ้หวั่ว เสยไหลไอ้หวั่ว
แล้วใครที่รักฉัน ใครรักฉัน ใครกันมารักฉัน
不知谁来爱我
bu4 zhi1 shei2 lai2 ai4 wo3
ปู้จือเสยไหลไอ้หวั่ว
ไม่รู้ว่าใครที่รักฉัน
2.想起了心里难过 我对你不错
xiang3 qi3 le5 xin1 li3 nan2 guo4 wo3 dui4 ni3 bu2 cuo4
เสี่ยงฉี่เลอซินหลี่หนานกั้วหวั่วตุ้ยหนี่ปู๋ชั่ว
คิดขึ้นมาคราใดใจทุกข์เศร้า ฉันดีต่อเธอไม่น้อย
我的心为了你 没有放下过
wo3 de5 xin1 wei4 le5 ni3 mei2 you3 fang4 xia4 guo4
หวั่วเตอซินเว่ยเลอหนี่เหมยโหย่วฟั่งซย่ากั้ว
ฉันมอบใจให้เธอ ไม่เคยทอดทิ้ง
怕你冷 怕你热 怕你渴 怕你饿
pa4 ni3 leng3 pa4 ni3 re4 pa4 ni3 ke3 pa4 ni3 e4
ผ้าหนี่เหลิ่ง ผ้าหนี่เร่อ ผ้าหนี่เข่อ ผ้าหนี่เอ้อ
เกรงเธอหนาว เกรงเธอร้อน กลัวเธอกระหาย กลัวเธอหิว
谁爱我 谁爱我 谁来爱我
shei2 ai4 wo3 shei2 ai4 wo3 shei2 lai2 ai4 wo3
เสยไอ้หวั่ว เสยไอ้หวั่ว เสยไหลไอ้หวั่ว
แล้วใครที่รักฉัน ใครรักฉัน ใครกันมารักฉัน
不知谁来爱我
bu4 zhi1 shei2 lai2 ai4 wo3
ปู้จือเสยไหลไอ้หวั่ว
ไม่รู้ว่าใครที่รักฉัน
3.你从来没有给我 一点儿快乐
ni3 cong2 lai2 mei2 you3 gei3 wo3 yi4 dian3 er kuai4 le4
หนี่ฉงไหลเหมยโหย่วเก่ยหวั่วอี้เตี่ยนไคว่เล่อ
เธอไม่เคยมอบความสุขให้กันฉันแม้เพียงเสี้ยว
我命里注定 要受你的折磨
wo3 ming4 li3 zhu4 ding4 yao4 shou4 ni3 de5 zhe2 mo2
หวั่วมิ่งหลี่จู้ติ้งเย่าโซ่วหนี่เตอเจ๋อหมัว
ชีวิตฉันลิขิตไว้ ให้ทรมานเพราะรักเธอ
爱是枷 情是锁
ai4 shi4 jia1 qing2 shi4 suo3
ไอ้ซื่อจยา ฉิงซื่อสั่ว
ความรักคือพันธนาการ ความรู้สึกคือกุญแจคล้อง
我偏愿受折磨
wo3 pian1 yuan4 shou4 zhe2 mo2
หวั่วเพียนย่วนโซ่วเจอหมัว
ฉันยินยอมรับความทรมานนั้น
谁爱我 谁爱我 谁来爱我
shei2 ai4 wo3 shei2 ai4 wo3 shei2 lai2 ai4 wo3
เสยไอ้หวั่ว เสยไอ้หวั่ว เสยไหลไอ้หวั่ว
แล้วใครที่รักฉัน ใครรักฉัน ใครกันมารักฉัน
不知谁来爱我
bu4 zhi1 shei2 lai2 ai4 wo3
ปู้จือเสยไหลไอ้หวั่ว
ไม่รู้ว่าใครที่รักฉัน
ซ้ำ 2,1,3 ตามลำดับ

**หมายเหตุ
ระบบพินอินในภาษาจีนมีเครื่องหมายแทนเสียงวรรณยุกต์ 4 เครื่องหมาย 5 เสียง ดังนี้
เสียงที่หนึ่ง (ˉ) เทียบเท่าเสียง สามัญหรือตรี ในภาษาไทย
เสียงที่สอง (ˊ) เทียบเท่าเสียง จัตวา ในภาษาไทย
เสียงที่สาม (ˇ) คล้ายเสียง เอก ในภาษาไทย
เสียงที่สี่ (ˋ) เทียบเท่าเสียง โท ในภาษาไทย
เสียงที่ห้า ไม่มีเครื่องหมาย บางครั้งใช้เครื่องหมาย (.)วางหน้าพยางค์
ในบทความนี้ เนื้อเพลงในส่วนอักษรภาษาอังกฤษ ใช้ตัวเลขแทนเครื่องหมายวรรณยุกต์ 1 2 3 4 5 ตามลำดับ

อธิบายศัพท์
狠心(hen3 xin1) แปลว่า ใจร้าย ใจดำ ไร้ความปราณี
注定(zhu4 ding4) แปลว่า ลิขิต
折磨(zhe2 mo2) แปลว่า ทนทุกข์ทรมาน
枷(jia1) แปลว่า พันธนาการ
锁(suo3) แปลว่า แม่กุญแจ หรือ ล็อค

ที่มา  http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000127334

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แอบรัก ให้น่าประทับใจ

แอบรัก ให้น่าประทับใจ

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

ความรู้สึกดีๆ ที่ไม่แพ้ความรู้สึกสมหวังในความรัก อาจเป็น ความรู้สึกช่วงฟักไข่ของการแอบรัก ก็เป็นได้ ระยะที่ความรู้สึกเรายังไม่เตลิดไปไกลจนเกิดการคาดหวัง สร้างความประทับใจวันนี้ จะนำเสนอแง่มุมดีๆ ของการแอบรักและที่พลาดไม่ได้ "แอบรักอย่างไรให้น่าประทับใจ" พบได้ในคอลัมน์บอยส์ครั้งนี้

คุณแอบรักอยู่หรือเปล่า ?
ของแบบนี้บางทีเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวนะ มาเช็คอาการกันดีกว่าหนุ่มๆ ว่าตอนนี้เรารู้สึกแอบรักใครอยู่หรือเปล่า? ลงมาดูตามาภาพด้านล่างเลยครับ

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

ใครดูภาพด้านบนแล้วรู้สึกว่าตรงกับตัวเองเกินกว่า 5 ข้อ คอลัมน์บอยขอวินิจฉัยว่า คุณกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักครับ!!!


หนุ่มที่กำลังแอบรักเมื่อเจอสาวที่รู้สึกแอบรัก สิ่งที่เกิดขึ้นทางกายคือ หัวใจเต้นถี่กว่าปกติ สูบฉีดเลือดพุ่งพล่านไปทั่วร่าง จนทำให้หน้าเริ่มมีสีแดง ส่วนมือก็เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง สมองสั่งการไม่เป็นปกติทั้ง การพูดที่ติดขัดและการคิดอะไรไม่ค่อยออก จนบางทีเผลอพูดอะไรเปิ่นๆ ออกมา แล้วก็ชอบหลบสายตาไม่กล้ามอง เพราะมองทีไรมันจะเกิดความรู้สึกเปล่านี้...

ทำไมมันตื่นเต้นอย่างนี้นะ ความรู้สึกมันหวั่นไหวหัวใจยังไงบอกไม่ถูก เล่นเอาเสียเขินจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเลย ความรู้สึกประหลาดนี้เหมือนว่าจะไม่อยากให้มาอยู่ใกล้ๆ แต่พอเขาไปก็แทบจะคิดถึงทันทีตั้งแต่ยังมองเห็นด้านหลัง จนบางทีออกอาการเพ้อเลยทีเดียว


ทำไมแอบรักแล้วมีความสุขจัง ?
นั่นน่ะสิ ทำไมช่วงระยะแรกของการแอบรักเราถึงมีความสุขมากเลยนะ มาหาคำตอบกันครับ

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

คุณจะมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ
พลังแห่งความรักจะทำให้คุณมีพลังในการทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณจะพยายามวาดรูปเหมือนทั้งที่วาดรูปไม่เป็นเลย หรือเอาพลังแปลงเป็นการตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เป็นช่วงที่ใช้ความรักได้อย่างเป็นประโยชน์จริงๆ

คุณจะอยากมอบสิ่งดีๆ แบบไม่ต้องการอะไรตอบแทน ความรักด้านบวกของความรู้สึกแอบรักยังเป็นพลังงานแบบใช้แล้วไม่หมดไป ไม่ต้องการพลังงานทดแทน หรือตอบกลับมา เราตั้งใจมอบสิ่งดีๆ ให้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ แล้วคิดว่า แค่ได้รู้จักหรือเป็นเพื่อนกับเธอก็พอใจแล้ว

คุณจะมีความสุขแล้วยิ้มได้ทั้งวัน
อารมณ์ดีเพราะมีความสุข มันเลยแสดงออกมาทั้งทางหน้าตา การกระทำ และความรู้สึก ช่วงนี้เพื่อนยืมตังค์แล้วไม่คืน ยังยิ้มหวานใส่เลย

มีความหวังแบบไม่คาดหวัง
เมื่อมีความหวังชีวิตย่อมรู้สึกว่ามีค่า ยิ่งเป็นความหวังระดับสูงที่ไม่คาดหวังด้วยแล้ว มันเป็นสุดยอดความหวังที่เกิดขึ้นกับเราไม่กี่ครั้งในชีวิตทีเดียวนะ

การแอบรักแบบแป้กๆ
มีความสุขอยู่ดีๆ ถ้าไม่ควบคุมอะไรบางอย่าง อาจทำให้การแอบรักครั้งนี้ ไม่น่าสดใสอีกต่อไป ความรู้สึกที่มากเกินไป คือ เมื่อเริ่มรู้สึกมากเกินไป สิ่งต่างๆ จะตามเรามาอย่างไม่รู้ตัว ดังนี้

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

ความคาดหวัง เมื่อก่อนไม่เคยจะหวัง แต่ความรู้สึกที่มากขึ้นเริ่มทำให้เรารู้สึกหวังขึ้นมา ซึ่งเมื่อหวังก็ต้องเสี่ยงกับการผิดหวัง แล้วมันจะกลายเป็นความรู้สึกแง่ลบไปในทันที

ความรู้สึกเป็นเจ้าของ เราเคยปล่อยหัวใจให้โบยบินตามคนที่แอบรักไป แต่มาตอนนี้กลับอยากจับเขามาขังอยู่ในหัวใจของเราคนเดียว ซึ่งในความเป็นจริงคนแอบรักไม่ได้มีสิทธิ์ขนาดนั้น ทำให้เรากลับต้องทุกข์ทรมานกับการแอบรักครั้งนี้

อยากได้สิ่งตอบแทน ความรู้สึก สิ่งของ ความหวังดีต่างๆ ตอนนี้เราอยากได้มันกลับมาบ้างแล้ว อีกครั้งที่คนที่มีสถานะแอบรักไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับ

กดดันจากความรู้สึกคนอื่น บางทีการที่เราเปิดเผยความรู้สึกให้เพื่อนสนิทหรือใครๆ ได้ฟัง จะย้อนมาเป็นตัวกดดันเอง เช่น ถ้าเวลาผ่านมาเนิ่นนานอาจมีคำถามว่า "นานแล้วนะ ยังไม่ทำอะไรอีกหรอ" บางทีมันเป็นแรงกระตุ้น แต่บางทีมันเป็นแรงกดดันให้เราทำอะไรโดยที่ไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ

แอบรักอย่างไรให้น่าประทับใจ
มาถึงบทสรุปสุดท้ายในเรื่องนี้ ที่ใครๆ เฝ้ารออ่านตั้งแต่ด้านบน แล้วพี่มิ้งเพิ่งจะมาเขียนตอนท้าย(เนี่ยนะ!!) ก็ แหม ขออุบท่าไม้ตายเอาไว้ใช้ปิดฉากสวยๆ หน่อย รีบหรือเปล่า งั้นมาอ่านกันเลย

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

รู้ตัว

อย่าหวัง

ทำอะไรสักอย่าง

สามสเต็บนี้ช่วยให้หนุ่มๆ คอลัมน์บอยส์เด็กดีเป็น "คนแอบรักขั้นเทพ" ได้ เรามาก้าวไปเป็นขั้นเป็นตอนทีละนิดนะครับ

รู้ตัว ก่อนอื่นต้องรู้สถานะแล้วเจียมตัวเองว่า "ไอ้เรามันแค่คนแอบรัก" บริหารจัดการกับความรู้สึกให้ดีๆ ย้อนไปในความรู้สึกในช่วงระยะฝักไข่ของการแอบรัก ตอนที่เรามีความสุขได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วอมยิ้มที่ได้แอบมองเธอคนที่แอบรักอยู่ไกลๆ

เมื่อเรารู้สึกถึงสถานะที่แท้จริงของตัวเองแล้ว เราก็จะไม่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นความสนใจ ความรู้สึกดีๆ สิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่เราได้มอบให้เขาไป

มาถึงตรงนี้ หนุ่มบางคนอาจรู้สึกว่า "อ่าว เฮ่ย อย่างนี้ก็แป้กน่ะสิ" พี่มิ้งไม่บอกให้หนุ่มๆ ยอมแพ้แน่นอน หึๆ แต่ต้องการฝึกความรู้สึกให้นิ่ง ทั้งการที่รู้สถานะตัวเองและการไม่คาดหวังเสียก่อน แล้วค่อยมาถึงสเต็ปที่จะพาเราก้าวไปข้างหน้าด้วยการทำอะไรสักอย่าง จะจีบ จะขอเบอร์โทรศัพท์ แลกพิน บอกความในใจ ทำได้หมด แต่ต้องยอมรับกับผลลัพธ์ที่จะได้ด้วยนะ พี่มิ้งขอแอบให้กำลังใจนิดๆ แล้วกัน ถ้าหนุ่มๆ รู้สึกถึงความไม่คาดหวังเหมือนตอนแรกที่แอบรักได้ มีลุ้นยาวๆ เลยล่ะครับ ส่วนถ้ามันจะแย่อย่างการเจอกับความผิดหวัง คิดให้ได้เหมือนช่วงแรกของบทความนี้ ความรู้สึกดีๆ ที่เราคิดว่าได้รู้จักหรือเป็นเพื่อนเธอก็พอใจแล้ว

ขอให้เป็นนักแอบรักที่ดีนะครับ อย่าได้เอาความรู้สึกดีๆ มาทำให้ใครหรือตัวเองต้องลำบากหรือไม่มีความสุข แม้ความรักจะทำให้คนตาบอด แต่ความรักก็ทำให้เราได้รู้ครับว่า "ใจเราไม่บอด" ฮิ้ววว~

เด็กดีดอทคอม :: แอบรัก ให้น่าประทับใจ

จะรู้ได้ไงว่าหนุ่มคนนั้นเขาปิ๊งคุณอยู่

จะรู้ได้ไงว่าหนุ่มคนนั้นเขาปิ๊งคุณอยู่

ความรัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
คิดว่าคงมีสาว ๆ ไม่น้อยที่ประสบปัญหาเช่นนี้ คือมีหนุ่มเข้ามาสนิท ทำท่าทีเหมือนคุณเป็นคนพิเศษ แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรที่บ่งบอกว่าเขาชอบหรือจะจีบคุณเลยสักนิด แต่ก็นี่ละคือธรรมชาติของคุณผู้ชายส่วนใหญ่ ชอบทั้งทีจะให้เดินมาบอกกันโต้ง ๆ ก็ดูทื่อ ๆ ไปหน่อย หนุ่ม ๆ เขาก็เลยมีวิธีการแสดงออกว่าเขาก็สนใจในตัวคุณอยู่เหมือนกันนะ (รู้ตัวไหมจ๊ะคนดี) แล้วสาว ๆ อย่างเราจะอ่านสัญญาณเหล่านั้นออกได้อย่างไร อยากรู้ลองมาดูกันค่ะ
ภาษากายและสายตา
หากหนุ่ม ๆ ปิ๊งใครอยู่ละก็ เขามักจะหันหน้าหรือหันตัวมาในทิศทางเดียวกับคนที่เขาชอบเสมอ นอกจากกายแล้วสายตาก็ยังมักเผลอจับจ้องมาทางสาวคนนั้นอยู่บ่อย ๆ ตาจะดูจะดูจับจ้องอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ แล้วก็จะกะพริบตาบ่อยครั้งกว่าปกติ ลองสังเกตดูสิว่าเขามีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า
หาเวลาพูดคุย อยู่ด้วยกัน
ส่วนใหญ่คุณผู้ชายก็มักจะชอบไปแฮงก์เอาท์เฮฮากับเพื่อนหนุ่ม ๆ ด้วยกันมากกว่า แต่หากคุณพบว่าเขาชอบหาเวลามาคุยด้วย พยายามมาเจอหน้า ไม่ว่าเขาเองจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม อย่างเลิกงานขอแค่เดินเป็นเพื่อนคุยไปถึงหน้าลิฟต์ก็ยังดี คุณจะเดินไปซื้อของหน้าออฟฟิศก็อาสาไปเป็นเพื่อน ออนเอ็มทุกวันและไม่พลาดที่จะทักคุณทันทีที่เห็นคุณออนไลน์ ฯลฯ เท่านี้ก็บ่งบอกได้ไม่ยากเลยค่ะว่าคุณน่ะเป็นคนพิเศษของเขา
เขาจำวันสำคัญของคุณได้
แม้ว่าผู้ชายจะขึ้นชื่อเรื่องความขี้ลืมไม่เอาใจใส่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาจดจำวาระสำคัญของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันที่คุณผ่านโปรฯทดลองทำงาน วันรวมรุ่นกับเพื่อนเก่า คุณอาจจะเห็นได้จากของขวัญเซอร์ไพรส์ ดอกไม้สวย ๆ หรืออาจจะเป็นข้อความถามไถ่ว่ารู้สึกอย่างไร สนุกไหม หรือจำได้ว่าคุณชอบกินอะไร แปะเพลงโปรดของคุณในเฟซบุ๊ก นี่แหละวิธีการแสดงออกถึงความรู้สึกของเขา ก็เดาไม่ยากเนอะ
อ่านแล้วคงรู้เนอะว่าเขาส่งสัญญาณขนาดนี้ ไม่แคล้วก็คงชอบคุณอยู่นั่นแหละ สาว ๆ บางคนอาจจะรู้แต่ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เอาน่า.. เขาบอกเป็นนัย ๆ ขนาดนี้แล้วก็ลองเออออกับเขาดูสักตั้งแล้วกัน มันอาจยังไม่ใช่ความรัก แต่ก็นับว่าคุณเป็นคนพิเศษสำหรับเขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าแอบมีใจให้เขาอยู่เหมือนกันอย่างนี้ก็ลงล็อคเลย
ส่วนสาวบางคนหนุ่มข้างกายคุณก็เพียรพยายามส่งสัญญาณมาตั้งนานแล้ว แต่พอดีเครื่องรับสัญญาณสาว ๆ ไม่ทำงานหรือเปล่านะ สัญญาณก็เลยส่งไปไม่ถึงสักที เอ้า...ลองจูนเครื่องดูใหม่นะคะ แล้วคุณจะได้รู้ว่าหนุ่มคนนั้นเขาปิ๊งคุณอยู่หรือเปล่า :)

ขอบคุณข้อมูลจาก

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผู้ชายกับผู้หญิง

36028e8c5c81bd00297ba674597a47ea.th1.ความคิดถึง
ผู้หญิง = เพิ่งแยกจากเรามาแค่ครู่เดียวเองก็คิดถึงอยากเจอหน้าเจาอีกแล้วน่ะ
ผู้ชาย = ความคิดถึงก็เหมือนการได้ลงเตะฟุตบอลที่เราอยากเตะ พอได้เตะแล้วก็หายอยาก
2.การจีบ
ผู้หญิง = เขาเข้ามาคุยกับเราบ่อยๆอย่างนี้ เขากำลังจีบเราอยู่แน่เลย
ผู้ชาย = บางครั้งการจีบก็เป็นแค่การทดสอบความสามารถของตัวเอง
ไม่ได้รู้สึกจริงจังเลย
3.การตกหลุมรัก
ผู้หญิง = การก้าวขาหล่นลงไปในหัวใจของเขา ลึกจนยากจะปีนขึ้นมาง่ายๆ
ผู้ชาย = การเดินสะดุดขาอ่อนของเธอ
อาจจะเซไปบ้างแต่ไม่ถึงกับทำให้เสียการทรงตัว
4.หัวใจ
ผู้หญิง = อวัยวะที่ยกให้เขาไปแล้ว
ก็ไม่อยากให้เขาส่งคืน
ผู้ชาย = อวัยวะที่ให้ในการหายใจอ่ะดิ
5.แฟนเก่า
ผู้หญิง = คนรักของวันวาน ที่ถ้าบังเอิญเจอหน้าในวันไหน ก็ทำให้ใจสั่น
ผู้ชาย = ใคร เธอคือใครหรอ จำไม่ได้แล้วอ่ะ
6.แฟนใหม่
ผู้หญิง =คนรักของวันนี้ ที่เราอยากให้เป็นคนรักของวันหน้าไปนานๆ
ผู้ชาย = แฟนของวันนี้ แต่วันหน้าค่อยว่ากันอีกที
7.โทรศัพท์
ผู้หญิง = เครื่องมือสื่อสารที่ช่วยสื่อความคิดถึง
ผู้ชาย = เครื่องมือสื่อสารที่เธอมีไว้คอยโทรจิกตามตรวจสอบเราทุกที่ ทุกเวลา
8.ความเหงา
ผู้หญิง = แค่ไม่มีเขา เราก็เหงาเหลือเกิน
ผู้ชาย = 365 วันไม่เหงา เพราะเราไม่ขาดเพื่อน
9.ดอกไม้
ผู้หญิง = เดินผ่านร้านดอกไม้ทีไร อยากให้เขาซื้อให้เรา แค่ดอกเดียวก็พอ
ผู้ชาย = ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียว ทำไมเธออยากได้อะไรนักหนา
10.จูงมือ
ผู้หญิง = เป็นแฟนกันแรกๆ
เขาจูงมือเราไม่ยอมปล่อย
ผู้ชาย = โอ๊ยยยยย ผมไม่ได้เด็กๆแล้วนะ ต้องจูงมือข้ามถนนด้วย
11.หึง
ผู้หญิง = รักคือหึง หึงคือรัก ไม่รักไม่หึง ไม่หึงถ้าไม่รัก
ผู้ชาย = ที่ผมเผลอลงไม้ลงมือกับคุณน่ะ เพราะผมหึงนะ
12.น้ำตา
ผู้หญิง = เครื่องมือที่ช่วยลดความเครียดตามธรรมชาติ
546_imageผู้ชาย = เครื่องมือเรียกร้องความสนใจของผู้หญิง
13.เดทครั้งแรก
ผู้หญิง = เหตุการณ์ตื่นเต้นที่สุดอีกครั้งในชีวิต เขาจะพาเราไปนั่งกินอาหารร้านไหนนะ
ผู้ชาย = เหตุการณ์ผลาญเงิน หวังว่าเธอคงไม่เห็นแก่กิน เลือกร้านแพงๆเหมือนยัยคนก่อน
14.ช้อปปิ้ง
ผู้หญิง = กิจกรรมสุดโปรด ได้ทำแล้วเหมือนมีสารเอ็นโดรฟินหลั่งออกมา
ผู้ชาย = เครียดก็ช้อป มีความสุขก็ช้อป อารมณ์ปกติก็ช้อป ผู้หญิงโรคจิต
15.การสารภาพรัก
ผู้หญิง = เป็นแฟนกันมาตั้งนาน แค่คำว่ารักคำเดียว เขายังไม่เคยพูดให้เราได้ยินเลย
ผู้ชาย = เป็นแฟนกันมาตั้งนาน
คำว่ารักคำเดียวจะสำคัญอะไรนักหนา
16.อกหัก
ผู้หญิง = ทำลายของๆเขา ฉีกรูปคู่ทิ้ง เก็บตัวอยู่ในห้อง ฯลฯ เจ็บนี้อีกนาน
ผู้ชาย = กินเหล้า,จีบดะ,เที่ยวกระจาย ฯลฯ 3 วันหายอกหัก
17.งอน
ผู้หญิง = ดูเขาเถอะ หาเรื่องให้เราต้องงอนอีกแล้ว
ผู้ชาย = ดูมัน งอนได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
18.ง้อ
ผู้หญิง = ดีใจจัง เขาง้อเราแสดงว่าเขายังรักเราอยู่
ผู้ชาย = เซ็ง ต้องแกล้งง้อไปงั้นแหล่ะ ดีกว่าต้องทนเห็นหน้าที่เป็นก้นของเธอ

ระยะทำใจอยู่อย่างไร..เมื่อไม่มีเขา

567163-topic-ix-01. อยู่กับคนที่รักคุณ
ถึงใครคนนั้นจะไม่รับความรักที่คุณมอบให้ แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ยังมีคนที่รักคุณอยู่รอบ ๆ กาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูง เวลาเห็นคุณรู้สึกดาวน์แบบนี้ ขอให้เชื่อเถอะว่าเขาก็อยากจะทำให้คุณรู้สึกดี อยากจะอยู่ใกล้ ๆ คอยปลอบใจ เมื่อไหร่ก็ตามคุณรู้สึกว่าอยากระบาย อยากคุยกับใครสักคน อย่าลังเลใจที่จะให้คนที่รักคุณเข้ามาแชร์ความรู้สึกเจ็บปวดของคุณไปบ้างเถอะนะ
2. อย่าปล่อยให้หัวว่าง
ช่วงเวลาหลังอกหักนี่แหละที่เรามักจะจมจ่อมอยู่กับเรื่องราวเดิม ๆ อะไรเดิม ๆ ก็พากันผุดเป็นภาพเก่า ๆ ขึ้นมาให้เห็นเป็นฉาก ๆ หลีกหนีจากความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ อยู่กับอดีตให้น้อยลง และใส่ใจเรื่องที่กำลังทำอยู่ให้มากขึ้น ลองทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ จัดห้องใหม่ ฯลฯ หาเรื่องที่จะดึงความคิดคำนึงของคุณให้เบนออกไปจากความผิดหวัง พยายามทำให้ได้โดยเฉพาะช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์แรก ๆ ซึ่งนับเป็นระยะทำใจที่สำคัญ
3. ออกเที่ยวเปิดโลกกว้าง
หลายครั้งที่การอกหักกลายเป็นแรงผลักดันให้เราได้ก้าวออกไปพบอะไรใหม่ ๆ เราไม่ได้บอกให้คุณหนีปัญหา แต่แค่อยากให้คุณได้ลองเปลี่ยนสภาพบรรยากาศรอบตัวดูบ้าง ลองออกไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัด ท่องเที่ยวต่างถิ่น ไปในที่ ๆ อยากจะไปแต่ยังไม่มีโอกาส เปิดใจรับเรื่องราวและประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้วเมื่อทริปพักใจจบลง คุณก็จะมองเห็นโลกในแง่ใหม่ว่ามันยังสดใส ไม่ได้อึมครึมหม่นหมองอย่างที่เคยรู้สึก
4. เรียนรู้ที่จะอยู่เพียงลำพัง
นี่อาจเป็นคำแนะนำที่ฟังดูหดหู่ไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความให้คุณอยู่โดดเดี่ยวลำพังไปตลอดชีวิตหรอกนะ แค่อยากให้ลองคิดดูว่า ใช่ว่าเราจะมีความสุขไม่ได้หากไม่มีคนคู่กายคู่ใจ บ่อยเหลือเกินที่ความรู้สึกกลัวการอยู่ตัวคนเดียว ทำให้ช่วงเวลาอกหักดูยิ่งย่ำแย่และหนักหนาเกินกว่าแค่เรื่องปัญหาหัวใจ ลองออกไปกินข้าวคนเดียวบ้าง ดูหนังคนเดียวดูบ้าง เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข แล้วคุณจะรู้ว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้แย่มากมายขนาดนั้นหรอก
5. ปรนเปรอตัวเองบ้าง
เวลาเศร้า ๆ ซึม ๆ เป็นการดีที่จะได้ปลอบประโลมตัวเอง ด้วยการทำอะไรตามใจต้องการ อย่าปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับความเศร้าซึม อะไรก็ตามที่คุณคิดว่าทำแล้วจะรู้สึกดีขึ้นก็ลงมือทำเสีย ถือว่าเป็นการชดเชยจิตใจที่บอบช้ำ มันจะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
6. หาวิธีระบายออก
หนึ่งในการบรรเทาความอัดอั้นตันใจ ที่เสียดแทงอยู่ภายในให้ทุเลาลงได้ คือ การหาทางระบายออก ไม่ว่าจะป็นการเขียนไดอะรี่ เขียนบล็อก คุยกับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว ไม่ว่าจะโดยวิธีใด การได้ระบายเรื่องราวที่รู้สึกอยู่ในใจอกไปได้ จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น บางทีคุณอาจจะได้คำแนะนำดี ๆ กลับมาด้วยล่ะ

รู้ว่าต้องเจ็บ...แต่ก็ยังทนรัก

386_imageเคยไหม...รู้ทั้งรู้ว่าหากคุณเลี้ยวไปทางซ้ายหรือขวา จะต้องพบเจอกับความเจ็บปวด เสียใจ เศร้าสร้อย ทรมาน อ้างว้าง ฯลฯ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะก้าวเดินไปเผชิญกับความรู้สึกนั้น ๆ
ซึ่งจะด้วยเหตุผลของความห่างไกลเพราะเขาต้องไปเรียนต่อ...คุณเป็นตัวคั่นเวลาระหว่างที่เขารอคนรักกลับมาคืนดีด้วย...เขากำลังจะไปเป็นของคนอื่น...หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดนี้มันเรียกว่า "ความรักที่จำกัดช่วงเวลา" ประมาณว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เขาเข้ามาทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข หลงรัก แต่สุดท้ายก็จากไป ทิ้งไว้แต่เพียงภาพของความทรงจำสีจางเท่านั้น
อาจเพราะคำว่า "รัก" คอยกำหนดทิศทางให้หัวใจล่องลอยไปตามความรู้สึก จนบางครั้งก็ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่สนใจความเจ็บปวดของใคร ๆ หรือแม้กระทั่งของตัวเอง โดยคิดเพียงแต่ว่า "สุขให้พอ" อย่างน้อยทั้งคุณและเขาก็เคยมีความสุขร่วมกัน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของชีวิต จึงทำให้คุณไม่ลังเลที่จะก้าวไปสู่วังวนแห่งความเสียใจ
จริงอยู่ว่าใคร ๆ ก็อยากทำทุกวันให้มีความสุขที่สุด ตามแบบฉบับของตัวเอง แต่อย่าหลงลืมว่าหากเวลาที่จำกัดมาถึง คุณจะสามารถแบกรับความรู้สึกเสียใจที่ถาโถมเข้ามาทั้งหมดได้ไหม? คุณจะทนยอมรับกับสภาพที่จะต้องพบเจอได้มากน้อยแค่ไหน?
ลองหยุดคิดสักนิด! แล้วถามใจตัวเองให้ดี ๆ หากหัวใจตอบว่า "ยังไหวอยู่" ก็ขอให้คุณเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ไว้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว แต่ถ้าใจตอบว่า "ไม่ไหวแน่นอน" ก็ควรให้ค่อย ๆ ก้าวออกมาทีละน้อย แล้วปล่อยให้เวลาเยียวยาหัวใจ สุดท้ายความรู้สึกเจ็บปวดจะค่อย ๆ เบาบางลง และพร้อมจะยิ้มรับกับรักครั้งใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
ที่สำคัญ "ความรัก" คือการเดิมพันด้วย "ความรู้สึก" ซึ่งไม่ว่าคุณจะเจ็บปวดเจียนตายหรือสุขล้นใจ แต่ขอให้คิดซะว่า...อย่างน้อยครั้งหนึ่งคุณก็เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่รักมากที่สุด (จริงไหม)

15ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก

596_image1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่าน ประทานมา
3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป
5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้นแต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอ
6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด
7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง
9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10. อย่าบอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ
11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝันเพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15. ฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการฝันไปในที่ที่คุณต้องการไปเป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ

เสน่ห์ 10 ข้อ ของผู้หญิง

541_image.

…..ผู้หญิงเรา ก็เหมือนไก่ ในคำสุภาษิตที่โบราณว่าไว้ “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” เกิดเป็นผู้หญิงทั้งที จะสวยน้อยหรือสวยมากแค่ไหน ไม่อาจกำหนดเองได้ แต่สิ่งที่เราสามารถกำหนด หรือปรุงแต่งได้ นอกจากความสวยงามแล้ว คือ เสน่ห์ จากการรู้จักเลือกของแต่ละคนนั่นเองค่ะ

….. ชุดชั้นใน ถ้าคุณคิดว่าไม่สำคัญ ผิดถนัดนัก แม้นว่าชุดนี้จะซ่อนอยู่อย่างมิดชิด ควรให้ความสำคัญสักนิด เพราะอยู่ติดกับผิวกายคุณที่สุด วัสดุเนื้อผ้าการรัดตัวของชุด หรือหลวมหย่อนย้วยจนเกินไป ให้รู้สึกสบายตัวที่สุด เพื่อความรู้สึกที่ดีจากข้างในถึงข้างนอก

….. กระเป๋าถือ สิ่งนี้คือของคู่กายของคุณสุภาพสตรี เพราะเป็นแม่บุญหอบกันแทบทั้งนั้น ไหนจะกระเป๋าสตางค์ มือถือ พวงกุญแจ เครื่องสำอางเอย จิปาถะ เลือกกระเป๋าให้เหมาะสมกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ดูให้เข้ากับตามโอกาส พกพาแต่ของสำคัญจำเป็นจริง ๆ 80% เก็บไว้ที่บ้าน 20% พกติดตัว แค่นั้นจึงเหมาะสม

….. หน้าตายิ้มแย้ม ถึงแม้คุณจะแต่งตัวงดงามเพียงใด หน้าตาสดสวยมีเสน่ห์ กลิ่นกายหอมชื่นใจ แต่หน้างอเป็นม้าหมากรุกบอกบุญไม่รับ กลับบ้านไปนอนดีกว่า ใคร ๆ คงไม่อยากอยู่ไกล้ แล้วมันดีตรงไหนกันละคุณ

….. รองเท้า รองเท้าที่ไม่เข้ากับชุดเสื้อผ้าที่สวมอยู่หรือสวมแล้วเป็นทุกข์เพราะเจ็บ เหลือใจ ดูไม่เหมาะถึงจะชอบใส่ขนาดไหน แต่ดูขัดกับบุคคลิก เช่น สูงปรี๊ดหรือลำลองเหมือนดูเล่นอยู่ตามตลาดสด อย่าพยายามให้อภัยที่คิดจะใส่มันเลย เสียบุคคลิกเปล่าๆ แต่ถ้ายังคิดจะใส่อยู่ ต้องมั่นใจ เดินตัวตรงอย่างสง่า นั่นแหละแน่จริง

….. กิริยาวาจา ท่าทางการเดิน วาจาบ่งบอกถึงการอบรม ถึงคุณจะสนิทรักใคร่กันมาเก็บวาจาไว้คุณกันที่ลับดีกว่า ท่าทางท่วงทีการเดินให้มีสง่าเข้าไว้ ตัวตรงหลังตึง ไปไหนมาไหนอย่าให้เหมือนพายุหมุนก็พอแล้ว

….. สเปรย์ระงับกลิ่นปาก ที่สุดของสิ่งเสริมเสน่ห์ ดูปิ๊งปั๊งตั้งแต่หัวจดเท้าแต่พอเผยวาจาออกมา เพื่อนแตกฮือ ก็กลิ่นเจ้าหล่อนไม่จ๊ะจ๋าด้วย พกสเปรย์ระงับกลิ่นปากกันไว้ยิ่งเฉพาะสาว ๆ ที่ต้องจ๊ะจ๋าทั้งวันกันไว้ก่อนเถอะคุณ

….. เครื่องแต่งกาย แรกสุดคุณต้องรู้จักรูปร่างของคุณก่อน และพิจารณาสวมใส่ชุดให้เหมาะกับวาระโอกาสและสถานที่ เคารพต่อกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วม ใส่ใจกับการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบและสีสัน ดูให้เหมาะสมกับบุคลิกของคุณเอง อย่าเดินไล่ตามหลังแฟชั่นเกินไป จนผู้คนรอบข้างตะลึงงัน

….. เครื่องสำอาง ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง หน้าตาผมเผ้า ดูแลกันนิด ประแป้งสักหน่อยเติมสีปากสักนิด จัดผมให้เข้าที่เข้าทาง อย่าถึงกลับปล่อยให้หน้าโทรมมันแผล็บ เหมือนไปวิ่งการกุศลมา แต่ขอร้องไม่ต้องพอกหน้าจนหาผิวเดิมไม่เจอก็แล้วกัน

….. เครื่องประดับ ชุดเสื้อผ้าก็ดูดีแล้ว ทั้งกระเป๋า รองเท้า หน้าตาสวยสดใส หาเครื่องประดับอีกนิดแค่เสริมเติมให้ชุดกับตัวคุณดูมีลูกเล่น ไม่ต้องมากมายแค่ดูไม่เลี่ยนจนเกินไป เพิ่มเสน่ห์หญิงขึ้นมาทันที

….. น้ำหอม เครื่องหอม น้ำปรุง หากลิ่นประจำตัวไว้ก็ไม่เลว ถึงคุณจะไม่ชอบหรือแพ้น้ำหอม แค่โคโลญจน์หรือโลชั่นทาผิวกลิ่นอ่อนๆ เดินผ่านใคร กลิ่นหอมชื่นใจติดเป็นกลิ่นประจำกายคุณได้

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุแห่งความรัก บุพเพสันนิวาส คือ...

ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน
สาเกตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้
“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉย ๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส ”
“ ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ ”
เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น ”
จึง จะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุให้รู้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ ฯลฯ อีกมากมาย
คู่ บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข
เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ
คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน
คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข
เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล
เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น
คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย
เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน
ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ
• การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน
• การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน
เนื่อง จากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อ ไป
ลำดับของเนื้อคู่
เพราะ เหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่ สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ
เมื่อ เลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกัน ทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง
กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้ มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป


เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก
นอก จากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕
เนื่องจากกรรม จากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น
ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน
เมื่อ ความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต
โดย การอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร
การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน
หาก แน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข
คู่บารมี
สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบารมีกว่าที่จะสามารถ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว
คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึง ต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้

26 วิธีดูแลคนรอบข้างอย่างได้ผล

26 วิธีดูแลคนรอบข้างอย่างได้ผล

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะเคยเจอเหตุการณ์ที่คนใกล้ตัวกำลังตกอยู่ในภาวะเศร้า เหงา ซึม จนทำให้ที่ปรึกษา หรือคนรับฟังปัญหาอย่างเรา ๆ เป็นกังวลว่าจะมีวิธีการดูแลความรู้สึกของพวกเขาได้อย่างไรให้หายจากเรื่องทุกข์โศก ซึ่งก็ไม่ต้องคิดมากกันต่อไปนะจ๊ะ เพราะวันนี้เราได้นำข้อแนะนำดี ๆ จากเว็บไซต์ Dragosroua.com มาฝากกัน ลองมาดูกันว่า 26 วิธีดูแลคนรอบข้าง จะต้องทำอย่างไรกันบ้าง
1. ให้การสนับสนุน
พูดง่าย ๆ ก็เอาใจเขามาใส่เรานั่นแหละ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเรื่องทุกข์ร้อนให้ไม่สบายใจ เราก็ต้องการที่จะมีใครสักคนมาคอยรับฟังเราและเข้าใจในปัญหาที่เราได้เจอะเจอ ดังนั้น ให้การสนับสนุนเขาด้วยการเป็นที่ปรึกษาที่ดี ใช้คำพูดที่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และช่วยเหลือเท่าที่คุณจะทำได้ จะเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ
2. อย่ายึดความโกรธเป็นที่ตั้ง
หลาย ๆ ครั้งเมื่อเราได้รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง มีไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีอารมณ์ร่วมไปกับผู้ที่เผชิญกับปัญหานั้น ๆ ไม่ว่าจะโกรธ หมั่นไส้ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้นึกเอาไว้อยู่เสมอว่าคุณเป็นคนกลาง คุณแค่รับฟังปัญหาของเขา ไม่ใช่คนที่มีปัญหาซะเอง อย่าบุ่มบ่ามหรือตัดสินใจใด ๆ เพียงเพราะมีอารมณ์ร่วมเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้ไม่บานปลายในภายหลัง
3. ให้คำปรึกษาเท่าที่จำเป็น
อีกหนึ่งข้อที่คุณในฐานะของที่ปรึกษาและผู้รับฟังปัญหาควรจะตระหนักเอาไว้เสมอ ก็คือการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อย่าได้ช่วยเหลือเขาเสมือนว่าเป็นปัญหาที่เกิดกับตัวคุณเองโดยตรง ไม่อย่างงั้นเรื่องยุ่ง ๆ และเรื่องชวนเครียดจะมาหาคุณโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
4. อย่ามองเป็นเรื่องเล่น ๆ
ใครที่มีนิสัยติดเล่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ก็มักจะมองเป็นเรื่องเล่น ๆ อยู่เสมอ จงหยุดไว้ก่อน เพราะคนที่เขามีปัญหากับชีวิต เขาย่อมไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับคุณด้วยแน่ ๆ แสดงให้เขาเห็นว่าคุณเป็นห่วงเขาจริง ๆ เพื่อที่เขาจะได้สบายใจมากยิ่งขึ้น

5. แบ่งปันเรื่องราวดี ๆ อยู่เสมอ
ถ้าคุณมีคำพูดดี ๆ ประโยคโดน ๆ ที่ฟังแล้วช่วยให้เกิดกำลังใจที่ดีมากขึ้น ก็ให้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ซะตอนนี้เลย เพราะอย่างน้อย ๆ ก็เป็นการแบ่งเบาความรู้สึกที่ย่ำแย่ของเขาได้อย่างดีเลยทีเดียว แถมยังจะช่วยให้เขาได้ลืม ๆ เรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดได้อีกด้วยนะ จะบอกให้
6. เลี่ยงคำพูดที่จะนำไปสู่การทะเลาะวิวาท
ต่างคนต่างก็มีภาวะทางอารมณ์ที่แตกต่างกันไป และยิ่งถ้ามีเรื่องให้ต้องเครียดหรือคิดมากด้วยแล้วล่ะก็ เรื่องของอารมณ์นี่ยากจะเข้าถึงจริง ๆ และในเมื่อเราไม่รู้ว่าอารมณ์เขา ณ ขณะนั้นเป็นอย่างไร ขอให้ระมัดระวังในเรื่องของการใช้คำพูดให้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทที่มีเหตุมาจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
7. รู้จักตอบแทน
ถ้าคุณได้รับคำพูดดี ๆ หรือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ขอให้นำสิ่งดี ๆ เหล่านั้นไปให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป การทำแบบนี้จะถือเป็นการแบ่งปันความสุขที่มีให้แก่คนรอบข้าง และจะกลายเป็นลูกโซ่แห่งความสุขที่จะมีการส่งต่อ ๆ กันไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
8. ไม่ปากสว่าง
คนที่เขามีปัญหา เขามาปรึกษาคุณก็เพราะเห็นว่าคุณเป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ฉะนั้นอย่าปากสว่างหรือนำเรื่องทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นไปป่าวประกาศให้คนอื่น ๆ ได้รู้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่น่าคบหาด้วยเอาซะเลย

9. เป็นผู้ฟังที่ดี
สิ่งหนึ่งที่ควรทำอย่างมากถึงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นก็คือ การเป็นผู้ที่รับฟังปัญหาที่ดี รับฟังด้วยความเข้าอกเข้าใจและมีเหตุมีผล ไม่ใช้อารมณ์ร่วมในการตัดสินเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่างน้อย ๆ ให้คิดซะว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะถ้าเป็นเราที่มีปัญหาบ้าง ก็คงจะย่ำแย่อยู่ไม่น้อย.. จริงไหม ?
10. รู้จักให้อภัย
เรื่องอะไรที่แล้ว ๆ มาซึ่งผิดใจกันหรือเข้าใจไม่ต้องกันก็ขอให้ปล่อย ๆ ไปบ้าง อย่าถือสาหรือเก็บเอามาเป็นความเครียดแค้นให้หนักสมองและหมองใจ จะไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจเราอีกต่อไป การรู้จักให้อภัยเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสดใส เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ถ้าโกรธใครหรือมีความคิดในแง่ลบกับใครก็ลืม ๆ ไปบ้าง อย่าเก็บมาคิดให้เสียความรู้สึกเลย ปล่อยไปเถอะ แล้วคุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
11. ไม่เป็นครูที่หวงวิชา
เรื่องไหนที่เขาไม่ถนัด หรือยังทำได้ไม่คล่องมือ แต่คุณคุ้นเคยและชำนาญการก็ลองสอน ๆ เขาไว้บ้าง คนเราเกิดมาไม่ได้รอบรู้ไปซะทุกด้าน ในมุมกลับกันคุณเองก็อาจจะมีเรื่องที่คุณไม่รู้แต่เขารู้ก็เป็นได้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความรู้กันไป จะเข้าท่าเป็นที่สุด
12. มีแรงบันดาลใจดี ๆ
การมีแรงบันดาลใจดี ๆ จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ช่วยให้สามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงกระตุ้นให้ตัวเองได้มีความรู้สึกที่ดี ๆ อยู่เสมอ ๆ ฉะนั้นแล้ว มองหาสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตและลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ดี ๆ อยู่เสมอ ๆ แล้วแรงบันดาลใจพร้อมแรงกระตุ้นดี ๆ จะตามคุณเข้ามาเอง
13. มีสมาธิ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ การมีสติ มีสมาธิอันแน่วแน่ ก็จะนำมาซึ่งความประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ทั้งเรื่องการเรียน หน้าที่การงาน และอื่น ๆ อีกสารพัดสารเพ ก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่ มุ่งมั่น ตั้งใจ มีสติ จดจ่อและแน่วแน่เข้าไว้ รับรองเลยว่าความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
14. รู้จักจดจำในเรื่องสำคัญ ๆ
ในชีวิตนี้มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจดจำกันมากมาย ไหนจะวันเกิดของคนสำคัญ เรื่องสำคัญที่ต้องทำ และเรื่องอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน ฉะนั้นแล้วจดจำให้ดี ถ้ากลัวลืมจดบันทึกไว้ หรือจะเมมใส่ในโทรศัพท์ไว้ก็ได้ จะได้เป็นเครื่องช่วยจำเพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาดเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต
15. ซื่อสัตย์กับตนเอง
หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่าทุกวันนี้ก็ซื่อสัตย์กับตัวเองดีอยู่แล้ว จะมาบอกกล่าวกันทำไม แต่เชื่อได้เลยว่า กว่า 80 % มักจะหลง ๆ ลืม ๆ และไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ยกตัวง่าย ๆ เช่น การปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่พอมีเงินเข้าหน่อย หรือเจอของลดราคาถูกใจ ก็อดใจไม่ไหวเป็นอันต้องเสียเงินไปจนได้ ดังนั้นแล้วพยายามซื่อสัตย์กับตัวเองเข้าไว้ เพราะถ้าคุณทำได้ คุณก็จะสามารถให้ความซื่อสัตย์กับคนอื่น ๆ ได้ต่อไป
16. มีความอดทน
การมีความอดทนกับทุกสิ่งอย่าง ถือเป็นเรื่องดีที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แม้ว่าจะรู้สึกย่ำแย่หรืออึดอัดมากเพียงใดก็ตาม การมีความอดทนจะช่วยให้คุณได้มองเห็นปัญหาในมุมมองที่มากขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยให้คุณหาทางออกในการแก้ไขเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

17. ตอบกลับด้วย อย่าเพิกเฉย
ถือเป็นข้อสำคัญที่ต้องใส่ใจและห้ามเมินเฉยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน การเรียน หรือเรื่องที่ต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนอื่น ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการติดต่อกัน ข้อควรระวังที่ต้องหลีกเลี่ยงคือการเพิกเฉย เพราะการเพิกเฉยไม่เคยส่งผลดีอะไรเลย อาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องหรือทุกข์ร้อนกระวนกระวายใจขึ้นได้ ตอบกลับไปบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้เรื่องราวและความเป็นไปที่เกิดขึ้น ห้ามนิ่งเฉยเป็นอันขาด...จำไว้ !!
18. เรื่องไหนไม่สำคัญก็ปล่อย ๆ ไปบ้าง
ชีวิตนี้มีเรื่องให้คิดให้ทำมากมาย ฉะนั้นแล้ว คัดกรองเรื่องที่จะทำไว้บ้าง เรียงลำดับความสำคัญให้ดีว่าเรื่องไหนควรจจะจัดการก่อนหลัง ส่วนเรื่องไหนที่เป็นเรื่องไม่สำคัญอะไรมากมายนักก็ปล่อย ๆ ไปบ้าง อย่าเก็บมาทำให้เกิดความเครียดสะสม ชีวิตจะได้สบาย ๆ และลงตัวมากกว่าเดิม
19. สร้างสิ่งเซอร์ไพรส์
สร้างสีสันให้ชีวิตทั้งกับตัวคุณเองและคนรอบข้างด้วยการทำเซอร์ไพรส์ดี ๆ ขึ้นมาบ้าง อาจจะเป็นวันเกิด วันครบรอบ หรือวันสำคัญ ๆ ก็เข้าท่า การสร้างเรื่องเซอร์ไพรส์ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ช่วยให้คนอื่น ๆ ได้รู้ว่า อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีคุณที่ยังคงให้ความสนใจกับตัวเขาอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าได้มีเซอร์ไพรส์ให้บ่อยครั้งไปนัก ไม่งั้นจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย
20. มีความคิดแง่บวก
การมีความคิดในแง่ลบมักเป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดอยู่เสมอ ฉะนั้นแล้ว คิดแง่บวกเข้าไว้ มองเรื่องต่าง ๆ ในแง่ดี ๆ อยู่เสมอ จะเป็นสิ่งที่เข้าท่ากว่ากันเยอะเลย เมื่อคุณมีความคิดหรือมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในด้านที่ดีแล้ว จะทำให้คุณมีความสุขตามมาด้วยอย่างแน่นอน
21. มีการวางแผนในเรื่องต่าง ๆ
การจะช่วยเหลือใครสักคนให้มีประสิทธิภาพและเป็นขั้นเป็นตอนก็ควรที่จะมีการวางแผนไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น การไปที่นู่นที่นี่ กินอาหารร้านนั้น ช้อปปิ้งร้านนี้ หรืออื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย วางแผนสักนิด จะช่วยให้จัดสรรชีวิตได้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ลงตัวและเป็นประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย
22. พูดคุยแบบปากเปล่า
การพูดคุยกันโดยตรงแบบปากเปล่าถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จะเป็นวิธีการที่ดีที่ช่วยให้เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ และรวดเร็วที่สุด แต่ถ้าหากไม่สะดวกเจอหน้าพูดคุยหรือยังไม่พร้อมก็เขียนเป็นจดหมายหรือโน้ตเล็ก ๆ ดูก็ได้ วิธีนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนกันนะ

23. โลกสวยด้วยรอยยิ้ม
ลืมกันไปแล้วหรือยังว่าประเทศไทยของเราเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ถ้ายัง ก็ช่วยกันสานต่อคำกล่าวนั้นก็เยอะ ๆ เถอะครับ ยิ้มเข้าไว้ ชีวิตนี้จะได้มีความสุข คิดง่าย ๆ เวลาที่เราเห็นใครสักคนยิ้มให้ เราก็จะรู้สึกดีและก็ยิ้มตามไปด้วยถูกไหมครับ ยิ้มเข้าไว้ เพราะยิ้มไม่เคยทำเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ ให้ ลองยิ้มด้วยความเต็มใจก็จะพบว่ามันช่างแฮปปี้ที่สุดเลย
24. ทำอาหารให้ทาน
ถ้าใครที่มีฝีมือหรือเสน่ห์ปลายจวักด้านการทำอาหาร ก็ลองลงมือทำเมนูจานเด็ดไปฝากคนรอบข้างดูสักมื้อ ทำอาหารที่เขาชอบและเป็นประโยชน์ เพื่อให้เขารู้ว่ามีคุณที่แคร์เขาอยู่ รับรองเลยว่า เขาจะต้องทานอาหารฝีมือคุณอย่างมีความสุขและหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเลยทีเดียว
25. ติเพื่อก่อ
บางครั้งถ้าคุณมีความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น ๆ ก็ลองเสนอมุมมองของคุณให้เขาได้ทราบบ้างก็ได้ หรือหากมีเรื่องไหนที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรก็ควรที่จะติเตียน เพื่อเขาได้รู้ตัวและนำไปปรับปรุงต่อไป
26. อย่าคาดหวังให้มากจนเกินไป
เคยคาดหวังกับอะไรบางอย่างแบบมาก ๆ จนผลสุดท้ายก็เจ็บเพราะสิ่งนั้นไม่เป็นดังที่หวังกันไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ชีวิตแบบพอดี ๆ อยู่กับความเป็นจริงให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะการคาดหวังกับบางสิ่งแบบมาเกินไป ไม่เคยช่วยให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ขึ้นเลย ค่อยเป็นค่อยไปจะดีเสียกว่า
ทั้ง 26 ข้อที่ได้กล่าวไปนั้น ถือเป็นเคล็ด (ไม่) ลับดี ๆ ที่เราขอยืนยันว่าจะช่วยให้คุณสามารถดูแลและเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นของคนรอบข้างคุณได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นจะเป็นผลดีทั้งกับตัวคุณและคนรอบข้างของคุณมาก ๆ เลยด้วย

http://albumvote.postjung.com/itf59.html




กำเนิดโยคะ [ Origins of YOGA ]


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์
เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน
โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่ง
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ( Hatha Yoga )
ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา



ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ]

โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหารร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วยบรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



โยคะท่าพื้นฐาน

ท่านมัสการ




ความหมาย


• นมัสการ หมายถึง ทำความเคารพ



วิธีปฏิบัติ


• ยืนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เท้าชิด พนมมือ

• หายใจเช้าและยกแขนขึ้น ค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง ยื่นแขนเหนือศีรษะ

• หายใจออกช้าๆ เอนตัวไปข้างหน้า ให้มือที่พนมอยู่สัมผัสพื้นจนกระ ทั่งมืออยู่ในแนวเดียวกับเท้าศีรษะสัมผัสหัวเข่า

• หายใจเข้า ก้าวเท้าขวาถอยหลังมา 1 ก้าว ให้มือและเท้า ยังคงอยู่กับพื้น เท้าซ้ายอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• ขณะหายใจออก ยกเท้าซ้ายเข้ามาชิดเท้าขวา แขนตรงยกสะโพกขึ้นให้ศีรษะ และแขนอยู่ในแนวเดียวกัน ทำท่าเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าและค่อยๆ ลดสะโพกลงมาที่พื้น (ให้สะโพกอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย) ก้มตัวลงไปข้างหลังให้มากที่สุด

• หายใจออก และลดตัวลงมาที่เท้า เข่า มือ และอก สัมผัสพื้น

• หายใจเข้า และค่อยๆยกศีรษะขึ้น เงยศีรษะไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด และโค้งกระดูกสันหลังไปให้ได้มากที่สุด เหมือนท่านาคอาสนะ

• ขณะหายใจออกช้าๆ และให้แขนอาสนะ ยกสะโพกขึ้น และให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับแขน ทำเป็นรูปโค้งขึ้น

• หายใจเข้าช้าๆ และงอเข่าซ้าย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังคงอยู่ที่พื้น วางเท้าซ้ายลงบนพื้นระหว่างมือทั้งสองข้าง ยกศีรษะขึ้น

• หายใจออกช้าๆ ให้มืออยู่ที่เดิม ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดกัน ให้อยู่แนวเดียวกับมือถ้าเป็นไปได้ ให้ศีรษะสัมพันธ์กับหัวเข่า

• หายใจเข้าช้าๆ และยกแขนขึ้น ค่อยๆเอนตัวไปข้างหลัง โดยยื่นแขนขึ้นเหนือศีรษะ ย้อนกลับไปตำแหน่งยังข้อ 1



ท่าชวังคอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต ชว หมายถึง ทั้งหมด หรือ ทุกๆ อังคะ หมายถึง ร่างกาย ชวังคะ จึงหมายถึง ทำทั้งร่างกาย

ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นท่าที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทุกส่วน ท่านี้มักเรียกกันว่า ท่ายืนบนไหล่

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงายในท่า ศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้นขณะงอเข่าและดึงเข่าเข้ามาที่ท้อง หายใจออก

• หายใจเข้าช้าๆ กดฝ่ามือลง ยกลำตัวตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นจากพื้น งอกระดูกสันหลังไปข้างหลัง และทำท่อนแขนให้ตรง ให้สะโพกอยู่บนพื้น

• หายใจเข้าแล้วในขณะหายใจออก ให้ยกขาตั้งฉากกับพื้น อาจใช้มือพยุงสะโพกไว้ หรือวางแขนไว้ลงกับพื้นตามถนัด

• ขาดชิด เข่าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้น ศีรษะตรงไม่หันไปด้านใดด้านหนึ่ง เก็บคางให้ชนหน้าอก

• หายใจเข้า ออก ช้าๆ ขณะคงท่านี้ไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 6 จนกลับสู่ท่าศพอาสนะ



ท่าตรีโกณอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ตรี ในภาษาสันสกฤตหมายถึง สาม โกณ หมายถึง เหลี่ยมหรือมุม

ดังนั้น ท่านี้จึงเรียกว่า ท่าสามมุม หรือท่าสามเหลี่ยม

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิดแขนแนบลำตัว

• แยกเท้าออกจากกัน ให้ระยะห่างมากกว่าหนึ่งช่วงไหล่เล็กน้อย

• หายใจเข้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกให้ขนานกับพื้น ฝ่ามือคว่ำลง

• หายใจออกช้าๆ หันลำตัวไปทางซ้าย งอตัวที่ช่วงเอว ให้มือขวาลงไปที่แข้งซ้าย ฝ่ามือขวา วางไว้ข้างนอกของหน้าแข้งซ้าย

แขนซ้ายควรยื่นออกไปด้านบนขาและแขนทั้งสองข้างตรง โดยไม่ต้องงอเข่าและข้อศอก


• หันศีรษะขึ้นไปทางซ้าย มองไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย หายใจเข้า และกลับไปสู่ท่าเดิม คือท่ายืน ให้แขนกางออก

• คงท่านี้ไว้ เท่ากับช่วงหายใจออก หายใจออกและทำซ้ำ ขั้นตอนที่ 4-7 สลับซ้าย



ศีรษะอาสนะ



ความหมาย

• คำว่า ศีรษะ หมายถึง หัว ในภาษาสันสกฤต ท่านี้คือ ท่ายืนด้วยศีรษะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในการฝึกอาสนะ ไม่แพ้ท่าปทมอาสนะ

ด้านบนคือภาพโมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นภาพโยคีขณะทำท่าศีรษะอาสนะ

วิธีปฏิบัติ


• นั่งคุกเข่า ให้สะโพกอยู่บนส้นเท้า

• เอนตัวไปข้างหน้า วางแขนลงบนพื้น ให้ศอกห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกัน

• วางศีรษะลงบนพื้น ให้ท้ายทอยสัมผัสมือที่ประสานไว้

• ให้ปลายเท้าจิกพื้น ขณะยกส้นเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น

• คงท่านี้ไว้เป็นระยะเท่ากับการหายใจเข้า ถ้าไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ให้ค่อยๆ หายใจออก และนอนราบกับพื้น กางขาออก กลับไปสู่ท่าศพอาสนะ



หลอาสนะ



ความหมาย

• หล แปลว่า คันไถ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย แบบท่าศพอาสนะ

• หายใจเข้า วางฝ่ามือคว่ำที่พื้น ให้สะโพกอยู่บนพื้น งอเข่าเข้ามาจรดท้องขณะหายใจออก

• หายใจเข้า ขณะหายใจออกให้ยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น คุณอาจใช้มือพยุงสะโพก หรือวางแขนราบไปกับพื้นแล้วแต่ถนัด

• หายใจออก แล้วยกขาขึ้นเหนือศีรษะ งอขาตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ยกหลังและสะโพก จนนิ้วเท้าสัมผัสพื้นด้านหลังของศีรษะ รักษาเท้าให้ชิดกัน

หากใช้มือพยุงหลังให้ลองวางแขนราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง ถ้าไม่สามารถวางแขนลงที่พื้นได้ให้ใช้มือพยุงหลังส่วนล่างไว้


• เข่าตรง หายใจช้าๆ และคงท่านี้ไว้สักครู่ ถ้านิ้วเท้าสัมผัสพื้นไม่ได้ ก็พยายามให้นิ้วเท้าอยู่ต่ำที่สุด

• ทำท่าย้อนกลับตั้งแต่ข้อ 5 ถึง 1 จนกลับไปสู่ท่าศพอาสนะเหมือนเดิม




ธนูอาสนะ




ความหมาย

• คำว่าธนู ในภาษสันสกฤต หมายถึง มีรูปร่างเหมือนคันศร โค้ง หรือ งอ คันศร

ในที่นี้หมายถึง คันศรที่ใช้กับลูกธนู ท่าอาสนะนี้ มีชื่อแบบนี้เนื่องจาก ร่างกายมีท่าทางคล้ายคันศรที่โก่งพร้อมยิงธนู

วิธีปฏิบัติ


• นอนคว่ำหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง แขนราบไปกับลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น

• หันหน้ามาเพื่อวางคางไว้บนพื้น หายใจออก งอเข่า เอื้อมแขนไปข้างหลัง จับข้อเท้าขวาไว้ด้วยมือขวา จับข้อเท้าซ้ายด้วยมือซ้าย

• ขณะหายใจเข้า ค่อยๆ ยกขาขึ้นโดยดึงข้อเท้าขึ้น ยกเข่าขึ้นจากพื้น และยกอกขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน

กลั้นลมหายใจเข้าเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนหน้าท้อง


• ยื่นศีรษะให้ไกลที่สุด คงท่านี้ไว้ขณะกลั้นหายใจ

• หายใจออกช้าๆ วางเข่าลงบนพื้น ปล่อยข้อเท้า ค่อยๆ วางขาและแขนลงบนพื้น หันหน้าไปข้างหนึ่ง ทำเหมือนท่าเริ่มต้น



ท่าพิจิกอาสนะ



ความหมาย

• ท่าพิจิกหรือท่าแมงป่อง ในท่านี้ ร่างกายจะดูเหมือนแมลงป่อง ที่ยกหางโค้งขึ้นเหนือหัว พร้อมจะต่อยคู่ต่อสู้

แม้ท่านี้จะดูยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

วิธีปฏิบัติ


• คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้า วางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่

• ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด

• ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง

• หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้ ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ

• ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้

• ทำย้อนกลับจากข้อ 5 จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า

* ข้อควรระวัง ไม่ควรลองท่าแมงป่อง จนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกายอื่นๆ และไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน



ท่าพฤกษอาสนะ




ความหมาย

• ในภาษาสันสกฤต พฤกษะหมายถึง ต้นไม้ ท่านี้จึงเรียกว่าท่าต้นไม้

"ยืนตรงบนขาซ้าย งอขาขวาและวางขาขวาไว้บนโคนขาซ้าย ยืนเหมือนต้นไม้ ยืนอยู่บนพื้นดิน นี่คือท่าพฤกษอาสนะ"

วิธีปฏิบัติ


• ยืนเท้าชิด แขนแนบลำตัว

• งอเข่าขวา ยกต้นขาขวา และยก ส้นเท้าขวาไปบนต้นขาซ้ายด้าน ในให้โกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

• ทรงตัว บนเท้าซ้าย ยกแขนทั้งสอง ข้างขึ้นเหนือศีรษะ อย่าให้ข้อศอกงอ และให้ฝ่ามือประชิดกัน

คงท่านี้ไว้ขณะค่อยๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก


• ลดแขนและขาขวาลง และกลับไปสู่ตำแหน่งในข้อ 1 คือการยืนหน้าชิด แขนแนบลำตัว หยุดพักสักครู่ และทำซ้ำด้วยขาข้างหนึ่ง



ศพอาสนะ



ความหมาย

• ความหมาย คำว่า ศพ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ร่างที่ตายไปแล้ว

"การนอนลงที่พื้นเหมือนศพ เรียกว่า ศพอาสนะ ช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าและให้จิตใจได้พักผ่อน" จากหัตถโยคะปฏิบัติ

วิธีปฏิบัติ


• นอนหงาย อย่าให้ขาแตะกัน แขนราบไปกับลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น

• หลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ

• งอข้อศอก วางฝ่ามือบนพื้นใต้ไหล่ ให้นิ้วชี้ไปด้านหลัง

• มุ่งความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย จากหัวถึงเท้า แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายทีละส่วน

• คงท่านี้ไว้ 10-15 นาที หากรู้สึกง่วงนอนขณะทำท่านี้ ให้หายใจเร็วและลึกขึ้น

• ครั้งแรกที่ฝึก ให้คงท่าศพอาสนะไว้ 10 หรือ 15 นาที กลับมาทำซ้ำเป็นระยะๆ ในช่วงฝึกท่าต่างๆ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นร่างกาย / จิตใจ

คำแนะนำ

บางคนคิดว่าท่านี้ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น จุดประสงค์ของศพอาสนะ คือ ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย

นอกจากร่างกายจะต้องนิ่งและผ่อนคลายแล้ว จิตใจยังต้องนิ่งราวกับผิวน้ำที่ปราศจากการรบกวนอีกด้วย

ผลที่ได้คือการผ่อนคลายอย่างล้ำลึกและนิ่ง อันจะส่งผลให้เกิดสมาธิต่อไป

การฝึกศพอาสนะนั้นต้องใช้เวลา การกำหนดความสนใจไปที่อวัยวะแต่ละส่วนและ กำหนดลมหายใจล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกท่านี้อย่างยิ่ง

อุปสรรค 2 อย่างที่อาจลดคุณค่าการฝึกศพอาสนะ ก็คือ ความง่วงและจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หากรู้สึกง่วงขณะฝึก ให้กำหนดลมหายใจให้ลึกขึ้น

หากจิตใจไม่นิ่ง ให้มุ่งความสนใจไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย กำหนดจิตไปที่พื้นหรือที่จังหวะลมหายใจของคุณเอง

การฝึกศพอาสนะควรทำก่อนและหลังการฝึกอาสนะเป็นประจำ


ข้อมูลจาก
Practice 01





------------------------------------------------------------------------------

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons